วันอังคารที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553




ไดอารี่อนาคตกาล (director's cut)

วันที่ 8 พฤษภาคม 2582

เป็นครั้งแรกที่เขาก้าวเข้ามาในห้องทำงานของคุณตา หลังจากที่คุณตาเสียชีวิต

เด็กหนุ่มวัยสิบเจ็ดนึกอย่างกลัวๆในขณะที่ผลักประตูกระจกสีหม่นเข้าไปในห้อง...

เป็นห้องทำงานที่ดูธรรมดากว่าที่เด็กชายคิดเอาไว้ คอมพิวเตอร์โฮโลแกรมที่ดูเหมือนถ้วยวางไข่เอเลี่ยนขนาดใหญ่วางฝุ่นเกรอะอยู่ที่โต๊ะทำงาน แน่ละ คอมพิวเตอร์ตัวนี้ไม่ได้ใช้มากว่าสี่ถึงห้าเดือน มันก็ต้องฝุ่นเกาะอยู่แล้ว หนังสืออีกมากมายที่จัดวางอยู่อย่างเป็นระเบียบผิดกับห้องของตนเองที่ดูรก รวมทั้งแผนที่ยูราเชียโบราณ และลูกโลกเสมือนจริงที่หน้าจอทรงกลมที่ทำจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ดูอึมครึมเหมือนความคิดของเขา
เพราะคุณยายของเขาทีเดียวที่ตอบด้วยรอยยิ้มฟันหลอว่า

“ไปที่ห้องทำงานของคุณตาสิ แล้วเธอจะพบคำตอบ”

เมื่อนรินทร์ถามว่า

“ในอนาคต เขาจะทำอะไรเป็นอาชีพดี”

เขาจึงเดินเข้ามาที่นี่เป็นครั้งแรก หลังจากที่คุณตาเสียไปได้สามเดือน

อันที่จริง เขาเคยเข้ามาที่นี่แล้ว แต่เพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้น เพราะคุณตามักจะทำงานที่นี่จนดึกอยู่ตลอด เขาเข้าได้ก็ตอนที่กำลังจะจากที่นี่ไปตอนอายุสิบขวบ
เพื่อไปอยู่กับคุณแม่ เพื่อหยิบหนังสือสองเล่มที่คุณตาคิดจะให้มานานแล้วกลับไป นั่นคือหนังสือ ‘นิทานเซน’ กับหนังสือภาพเกี่ยวกับประธานาธิบดีสมัย
ต่างๆ

(ว่าแต่...ข้อมูลในนี้มันเยอะจริงๆ แล้วเขาจะเริ่มจากอะไรก่อนดีล่ะ)

นรินทร์นึกนึกพลางเอานิ้วแตะปาก เด็กหนุ่มมองไปรอบๆชั้นหนังสือเจ็ดชั้นที่สูงจรดเพดาน ซึ่งล้อมรอบตัวเขาสามด้านติดกำแพง ไม่รวมถึงชั้นเล็กๆสามชั้นที่วางอยู่บนโต๊ะ ซึ่งในนั้นมีหนังสือภาพนิทานเล็กๆเต็มไปหมด

แล้วเขาจะเริ่มจากหาอะไรก่อนดี...

สายตาของนรินทร์เหลือบไปเห็นหนังสือปกหนังเล่มเล็กพอๆกับฝ่ามือที่วางอยู่บนโต๊ะ มันเป็นสมุดบันทึกที่ดูใหม่อยู่มาก แต่ฝุ่นหนาทำให้มันดูเก่า เขาเดินไปหยิบมันขึ้นมาปัดฝุ่นออกอย่างระมัดระวังที่ปก

ปีที่เป็นอักษรสีทองตัวหนาบอกถึงปีปัจจุบัน พ.ศ. 2582 ปกสีน้ำตาลของมันดูหนาและนุ่มมาก มันดูเหมือนทำจากหนังสังเคราะห์ เขานั่งลงบนโต๊ะสีเทาที่มีโคมไฟ และเปิดสมุดออกอย่างระมัดระวัง

เป็นครั้งแรกที่เขาได้อ่านไดอารี่ของคุณตา...

ผู้ที่ได้ชื่อว่าเก่งกาจในหลายด้าน ทั้งการแปลหนังสือ เขียนเรื่องสั้น นิยาย ผู้ประกาศข่าว มัคคุเทศก์ ความรอบรู้ของเขามีมากกว่าคนอื่นๆที่ดังๆสมัยนี้เสียอีก

แต่สิ่งที่ทำให้ชายชราไม่ค่อยโด่งดังมากนักในแง่วิชาชีพ คือความคิดที่ไปไกลสุดกู่ของเขา คุณตามักจะคิดถึงแต่เรื่องราวของโลกอนาคตที่ดูแปลกแยก ถึงแม้นรินทร์จะไม่รู้ว่าเขาจะคิดไปทำไม เพราะเขาไม่สามารถใช้ชีวิตได้นานมากกว่านี้อีกแล้ว แต่คุณตามักจะเขียนปรัชญาเกี่ยวกับโลกอนาคตเสมอในผลงานของเขา

“โลกอนาคตนั้นสวยงามแน่หรือ ในเมื่อความคิดของมนุษย์ยังไม่เจริญตาม”

เขาถามตัวเองเสมอเกี่ยวกับความคิดของชายชราเมื่อนึกถึงสมัยปัจจุบันของกรุงเทพฯ ที่ตอนนี้ทันสมัยจนถึงขีดสุด ยิ่งกว่าประเทศบางประเทศเสียอีก มันไม่
เห็นจะมีอะไรที่น่าเป็นห่วงอย่างที่บทความของคุณตาบอกเอาไว้

วันที่ 1 มกราคม 2582

วันนี้ฉันก็ตื่นขึ้นมาพบกับความเสื่อมโทรมของโลกอนาคตเหมือนเดิม

เสื่อมโทรมหรือ หมายความว่าอย่างไรกัน นรินทร์นั่งขัดสมาธิบนเก้าอี้และอ่านต่อไปด้วยใจจดจ่อ

วันปีใหม่ ฉันนั่งตักบาตรกับพระรูปหนึ่งและแอนดรอยด์เด็กวัดอีกตัวหนึ่งที่ส่งเสียงติ๊ดๆขอเศษตังค์เพื่อวัด ฉันคิดว่าพวกเขาดูไม่มีความคิด ดูเหมือนพวก
พวกหุ่นยนต์ขอเงินเพื่อการกุศลมากกว่า ฉันให้เงินไปประมาณหนึ่งร้อยบาท แล้วพวกเขาก็ไปพร้อมกับเสียงตุ๊ดๆติ๊ดๆเหมือนอย่างเคย ฉันกลัวว่าพวกมนุษย์จริงๆจะหายไปจากโลกทั้งหมด เพราะความเอาแต่ใจตัวของมนุษย์จริงๆ

ข่าวเกี่ยวกับการเมืองในวันนี้ในโทรทัศน์โฮโลแกรมก็ไม่มีอะไรมากนัก นอกจากนายกฯทะเลาะกับประธานาธิบดีเมืองกุโร ดาวเอกพละเนตเรื่องการส่งออกแร่
ข้ามดวงดาว มันช่างเป็นเรื่องที่ไร้สาระ แต่เรื่องนี้กลับส่อเค้าวุ่นวาย เมื่อต่างฝ่ายต่างไม่ยอมลงให้กัน คนหนึ่งก็คิดว่าฝ่ายตัวเองถูกที่ส่งออกแร่แล้วขาดทุน
ควรจะได้มากกว่านี้ ส่วนอีกฝ่ายนั้นต้องการแร่มากกว่านี้ในราคาถูก ทำเหมือนพวกเด็กๆไม่รู้จักโต และถึงแม้ว่าในปีใหม่นี้จะมีข่าวดีอย่างลูกไลเกอร์กลิ้งตัว

ได้สำเร็จ แต่มันก็ยังดูไร้สาระ

ดูภายนอกบ้านของกรุงเทพฯ รุ่งเรืองและเจริญด้านเทคโนโลยี แต่ชนบทกลับไม่มีใครดูแลและไม่มีใครพูดถึงเลยแม้แต่นิดเดียว ต่อให้เป็นใบปลิวก็เถอะ

สงสัยทุกคนคงจะลืมความคิดแต่เดิมของพ่อแม่ไปจนหมดแล้วละกระมัง

ยิ่งความคิดสมัยโบราณเรื่องไม้ตะเกียบ คงยิ่งไม่มีอยู่ในสารบบ เพราะขนาดนักการเมืองยังทะเลาะกันเองเลย นับประสาอะไรกับประชาชนในตอนนี้ล่ะ จริง

ไหม

เฮ้อ...

วันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2582


ขอโทษทีที่คนแก่ๆอย่างฉันไม่ได้เขียนบันทึกเสียนาน พอดีเข้าโรงพยาบาล สุขภาพไม่ดี คนแก่ก็แบบนี้ละ โรคร้ายรุมเร้า

นรินทร์ก็จำวันนั้นได้ดี หลังจากหยุดวันปีใหม่วันสุดท้ายได้ประมาณสามสี่วัน คุณตาเกิดอาการทรุดเพราะโรคเบาหวานขึ้นมาอีก และถูกส่งโรงพยาบาล
เอกชนแห่งหนึ่ง ก่อนที่จะกลับบ้านได้ในอีกหนึ่งเดือนต่อมา
โรงพยาบาลก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ฉันอยากจะบ่น ถึงแม้ว่าจะมีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกมากมายแค่ไหน แต่ก็ดูไร้ชีวิต เหมือนกรุงเทพในปัจจุบันที่ไม่มีชีวิต
ชีวาเหมือนในสมัยก่อนเอาเสียเลย ที่นี่ก็ไม่ต่างกันนัก ทุกอย่างดูไม่มีชีวิตชีวาเหมือนสมัยนี้นั่นละ ผิดกับสมัยเมื่อสามสิบกว่าปีก่อนที่นางพยาบาลยิ้มอย่างเข้า
อกเข้าใจ และหมอก็พยายามที่จะเข้าใจคนไข้อย่างสุดความสามารถ แต่ตอนนี้ อะไรๆก็เป็นเครื่องจักรกับข้อมูลไปหมดแล้ว ขนาดหมอยังเป็นแอนดรอยด์เลย

ไม่มีรอยยิ้ม ไม่มีอะไรที่ดูเป็นของจริงอีกต่อไป




วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2582

ช่วงนี้มัวแต่นอนซมเพราะโรคคนแก่ เลยไม่ได้อ่านอะไรเลย แต่มันก็ดีอยู่อย่างที่ลูกชายมาหาและหยิบเอาหนังสือการ์ตูนญี่ปุ่นออกมาจากบ้านให้ฉันอ่านด้วย
เป็นเรื่องที่สนุกมากๆเลยทีเดียว ชื่อเรื่องว่า...วันๆอะไรนี่ละ

(วันพีซ...) นรินทร์พูดพลางฉีกยิ้มน้อยๆ


ในตอนที่ฉันเห็นฉากความยิ่งใหญ่ของทหารเรือ ไม่ว่าจะเป็นหุ่นยนต์ หรือกองทหาร หรือไม่ก็ทหารยศใหญ่(ที่มีความสามารถ) ทำให้ฉันนึกถึงเมื่อ
สมัยก่อน เมื่อการททหารเริ่มแทรกแซ.การเมือง แต่ในตอนนี้ การเมืองกับการทหารเกี่ยวข้องกันจนแยกไม่ออก เหมือนผีเน่ากับโลงผุเลยละ (ฮา) ไม่
ต่างจากการทหารและสงครามระหว่างดวงดาวที่มีซุปเปอร์คอมพิวเตอร์เข้ามาเกี่ยวข้องในด้านการวางแผนการรบ ถึงแม้ว่าจะไม่มีการผิดพลาดใดๆ แต่การ
ที่ไม่มีมนุษย์เข้ามาช่วยโต้แย้งกันก็ทำให้หงุดหงิดอยู่พอสมควร เพราะมนุษย์ที่โต้แย้งกันจะทำให้มีความคิดที่หลากหลายเพื่อนำไปใข้ในครั้งต่อไป ซุปเปอร์
คอมพิวเตอร์เครื่องเดียวจะไปประมวลอะไรได้มากมายนัก ยิ่งไปกว่านั้น ทั้งๆที่มนุษย์มีสมองที่สามารถรับข้อมูลได้มากกว่าเจ็ดพันล้านกิกกะไบท์ ดีกว่าซุป
เปอร์คอมพิวเตอร์บางรุ่นเสียอีก และที่สำคัญมากไปกว่านั้น ก็มนุษย์เองนั่นละที่ประดิษฐ์ซุปเปอร์คอมพิวเตอร์ขึ้นมา แล้วทำไมถึงไม่สามารถคิดได้พอๆกับซุป
เปอร์คอมพิวเตอร์ล่ะ

นรินทร์ฉีกยิ้มอย่างขบขัน ก่อนที่จะอ่านต่อไป

วันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2582

มัวแต่ นอน นอน นอน ทำให้โลกนี้มันดูน่าเบื่อ ไม่ค่อยได้ติดตามข่าวสารอะไรกับเขามากนักหรอก แต่ก็ดีที่ยายหยิบวิทยุออกมาจากห้องทำงานแล้วเปิดให้
ฉันฟัง ไม่อย่างนั้นฉันคงเบื่อตายเสียก่อน

เรื่องของข่าวลือกลายเป็นของธรรมดาไปเสียแล้วสำหรับข่าววิทยุ มีข่าวทำนองนี้ออกมาให้เห็นอยู่เป็นประจำ ทั้งข่าวลือที่ว่าจะเกิดสงครามดวงดาว ข่าว
อะไรต่างๆ ถึงแม้ว่าจะปิดข่าวมากแค่ไหน แต่ก็ยังไม่พ้นข่าวลือ เฮ้อ...


พูดถึงทูตในมัยนี้ดูเจ้าเล่ห์เหลือร้าย ถึงแม้ว่าพวกเขาจะเข้าไปในประเทศอื่นๆเพื่อเจรจาในด้านต่างๆ แต่ด้านหลังมือของนักการทูตเหล่านั้น กลับซ่อนความละโมบอยากได้และอาวุธมีดที่ไม่จำเป็นทางการเมืองเอาไว้ หลายสิ่งที่เมื่อทำไม่ได้ และไม่สมหวัง ก็จบลงด้วยความเศร้าโศก และด้วยสงคราม


แต่สิ่งที่สามารถทำให้ทุกอย่างไม่เป็นอย่างนั้นอยู่ในหัวใจของมนุษย์นี่ละ แค่หันหน้าเข้าหากัน หยุดทำตัวเป็นศูนย์กลางของจักรวาล แล้วร่วมคุยกันอย่างเป็นทางการ เปิดใจให้กัน จริงใจ ไม่ปลิ้นปล้อน

แต่มนุษย์จะทำได้อย่างไร ในเมื่อมนุษย์ยังมี ‘ความเห็นแก่ตัว’ อยู่

หลังจากหน้าบันทึกวันนั้น หน้ากระดาษที่เหลือก็ว่างเปล่าทั้งหมด ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจว่าทำไม คุณตาเริ่มมีอาการทรุดตั้งแต่สองสามวันหลังจากเขียนบันทึก

เล่มนี้ แล้วเขาก็เสียชีวิตในอีกหนึ่งเดือนต่อมา เขาจึงไม่ได้บันทึกอะไรอีกเลย
นรินทร์ปิดสมุดบันทึกดังปั่บ และวางมันลงบนโต๊ะ ก่อนที่จะถอนหายใจหนักหน่วง ถึงแม้ว่าจะเป็นแค่สี่วัน แต่ความคิดของคุณตาที่ระบายออกมาก็มากมาย

เสียเหลือเกิน เขานั่งลูบหน้าผากอยู่นานทีเดียว ก่อนที่จะเริ่มคิด

(สิ่งที่คุณตาบันทึกเอาไว้ ช่างมากมายเกินกว่าจะเป็นบันทึกระบายอารมณ์)

(มันเหมือนกับคำทำนายว่าโลกกำลังเจอกับวิกฤติร้ายแรงเพราะฝีมือมนุษย์ที่เอาแต่ใจ)
(ทำไมเขาอ่านแล้วรู้สึกสะท้อนใจแบบนี้นะ)

นรินทร์ค่อยๆมองไปรอบๆ ชั้นหนังสือทั้งเจ็ดชั้นที่สูงจดเพดานเต็มไปด้วยหนังสือเกี่ยวกับเรื่องราวต่างๆมากมายที่ยัดลงกะโหลกน้อยๆของเขาไม่หมด ไม่
ว่าจะเป็นวิทยาศาสตร์ การเมือง สังคม วัฒนธรรม เศรษฐศาสตร์ เกษตร เครื่องกล นิยาย เรื่องสั้น และอื่นๆเต็มไปหมด


(คุณตาบันทึกเกี่ยวกับความเสื่อมถอยของมนุษย์ที่คุณตามองเห็นในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา)

(เขาต้องทำอะไรบ้าง ก่อนที่ความเสื่อมถอยนั้นจะเกิดขึ้นจริงๆ)


(แต่การแก้ไขแบบนี้ เขาไม่สามารถทำด้วยตัวเองคนเดียวในเวลานี้ได้)

(เด็กตัวเล็กๆอย่างเขาจะทำอะไรได้ในตอนนี้)

นรินทร์เดินออกมาจากห้องทำงานด้วยความรู้สึกหนักอึ้งทางคาวามคิดยิ่งกว่าตอนที่เข้ามาเสียอีก ก็พอดีได้ยินเสียงข่าวทางโทรทัศน์โฮโลแกรม
“ขณะนี้ นายกรัฐมนตรีได้ประกาศภาวะสงครามระหว่างประเทศไทย กับเมืองกุโร ดาวเอกพละเนต ที่เมื่อสองสามเดือนก่อน เป็นข่าวกับไทยเกี่ยวกับความ
ขัดแย้งด้านการส่งออกระหว่างดวงดาว กับการปักปันเขตแดนระหว่างเมืองในดวงดาวกุโรเพื่อทำเหมืองแร่…”

คุณยายที่กำลังปอกแอปเปิ้ลให้หลานที่มาเยี่ยมถึงกับทำแอปเปิ้ลหล่นและอ้าปากค้าง นรินทร์มองดูนายกรัฐมนตรีของประเทศไทยพูดด้วยน้ำเสียงเหนื่อยอ่อน

เหมือนกับไม่ได้นอนในหลายวันมานี้ ชายหนุ่มวัยห้าสิบสองพูดผ่านเครื่องโทรศัพท์สามมิติในห้องทำงาน

“โชคร้ายจริงๆที่เราต้องมาเจอสถานการณ์สงครามระหว่างดวงดาวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ผู้นำในเมืองกุโรไม่ยอมรับข้อตกลงในตอนแรกของพวกเรา ที่จะ
ปักปันเขตแดนทางตอนเหนือของดวงดาวเพื่อการทำเหมืองของพวกเรา ทั้งๆที่ถ้าเราทำเหมืองในดวงดาวของพวกเขา จะได้รับสิทธิประโยชน์มากมาย แต่พวกเข่ากลับคิดว่าพวกเราจะไปแงชิงดินแดนของพวกเขาเพื่อเป็นอาณานิคม แถมพวกเขายังประกาศสงครามกับเราก่อนด้วยการลอบสังหารนักการทูตของ
เราด้วย เราจึงต้องประกาศภาวะสงครามกับประเทศเราอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้อีกแล้ว...”


นรินทร์นิ่งอึ้งไปนานทีเดียว สิ่งทีคุณตาทำนายเอาไว้ผ่านสมุดบันทึกกำลังจะเป็นความจริงเสียแล้ว...

(เขาควรจะทำอย่างไรดี...

ทำอย่างไรดี...
ทำอย่างไรดี...)

ดวงตาสีดำของนรินทร์สว่างวาบขึ้นมาในทันที

(เขาตัดสินใจได้แล้ว)

“คุณยาย”


“อะไรจ๊ะ” หญิงชราร่างเล็กพูดเสียงสั่น ดูเธอจะตกใจที่เขามาอยู่ข้างๆเธอและดูโทรทัศน์ด้วย
“ผมตัดสินใจได้แล้วครับ ว่าจต่อจากนี้ไปจะทำอะไรดี...”

....................................................................

“ท่านครับ เรามาถึงดาวกุโรเรียบร้อยแล้วครับ” ชายในชุดทหารที่มีใบหน้าคล้ำพูกับชายหนุ่มในชุดสูทในยานลำเล็กที่มีพื้นที่กว้างแห่งหนึ่ง

“ดีมาก...” ชายหนุ่มวัยสามสิบรำพึง

เขาถูกส่งมาในฐานะสหพันธรัฐโลก ที่ถูกรวมตัวกันชั่วคราวเพื่อต่อสู้กับชาวดาวกุโร หลังจากที่ประเทศไทยประกาศสงครามกับชาวดาวกุโร ถึงแม้ว่า
ประเทศไทยจะเป็นประเทศที่มีความทันสมัยเทียบเท่านานาอารยประเทศ แต่การเปลี่ยนตัวผู้นำ บวกกับความวุ่นวายภายใน ก็ทำให้การทำสงครามกลาย
เป็นความเสียเปรียบ ยิ่งชาวดาวกุโรมีความคิดและการทำสงครามที่โหดร้ายเนื่องจากความคิดว่าไทยแย่งชิงทรัพยากรของพวกเขา ก็ทำให้ไทยกลายเป็น
ฝ่ายที่ถูกถล่มอยู่ฝ่ายเดียว

สหพันธรัฐโลกจึงรวมตัวกัน และทำสงครามร่วมกับไทย แต่ไม่มีประโยชน์ที่จะทำสงครามกันอีกต่อไป...โดยเฉพาะตอนนี้

ยานค่อยๆจอดลงที่อาคารแห้งหนึ่งที่ดูเหมือนแท่งเหล็กมากกว่าตึก ชายหนุ่มกับนายทหารอีกสามสี่นายที่มาคุ้มกันเดินลงมาอย่างสง่างาม
ชาวดาวกุโรสองสามคนที่ดูเหมือนเจ้าหน้าที่ระดับสูงเดินเข้ามาหาพวกเขาด้วยท่าทีระแวง โดยเฉพาะชายหนุ่มที่ดูไม่คุ้นเคย แต่กลิ่นของชายคนนั้นสำหรับชาวดาวกุโรถือเป็นกลิ่นอันตราย เพราะพวกเขาได้กลิ่นส้มตำ กลิ่นน้ำหอม และกลิ่นเทคโนโลยีที่ติดมากับพวกเขา

ใช่...เขาเป็นคนไทย!!

“มีธุระอะไรกับพวกเรา” หญิงสาวชาวดาวกุโรถามอย่างระแวง ใบหูแมวสีขาวของเธอสั่นกระดิก

“ผมมีความคิดที่จะทำอะไรเพื่อพวกคุณบ้าง หลังจากที่เราทำสงครามต่อกันมานาน” ชายหนุ่มตอบ

“แล้วคุณเป็นใคร” ชายชราชาวดาวกุโรถามอย่างสงสัย “ผมไม่เคยเห็นหน้าคุณมาก่อน”

“ผมเป็นทูตมาจากสหพันธรัฐโลก มีหน้าที่มาเจรจากับพวกคุณ และในฐานะของคนที่ก่อสงครามครั้งนี้ด้วย”

“พอจะบอกชื่อเสียงเรียงนามของท่านจะได้ไหม”

ชายหนุ่มวัยสี่สิบยิ้ม ก่อนที่จะพูดด้วยน้ำเสียงมั่นใจว่า

“ผมชื่อ นรินทร์ อัศวกาล ครับ”


ปล.director's cut คือฉบับผู้กำกับทำเองครับ เอาคำนี้มาจากหนังสือของคุณวินทร์ เลียววาริณ เรื่อง ปั้นน้ำเป็นตัว น้ำแข็งยูนิต ตราควายบิน ครับ

อยากให้ทุกคนอ่านอย่างใส่ใจนะครับ และช่วยกันวิจารณ์ด้วย เพราะผมอยากพัฒนาฝีมือตัวเองขึ้นมาบ้างครับ แหะๆ

ไว้เจอกันใหม่กับเรื่องสั้นฉบับ revisited 'อาณานิคมหุ่นยนต์' ครับ

1 ความคิดเห็น:

  1. แจ่มหลายบักรินทร์ สู้ด้วยสันติวิธี

    หื้อบักกุโรมันได้รู้ว่า ส้มตำ แซ่บอี่หลี

    ตอบลบ