วันอาทิตย์ที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

District 9 : สิทธิ(อ)มนุษยชน

เมื่อวานเพิ่งดู district 9 กับแม่มา สิบนาทีแรกๆจะปิดอยู่แล้ว เพราะคิดว่าหนังเป็นสารคดีชีวิตกุ้ง แหะๆ (ขอสารภาพด้วยใจจริง) เรื่องเริ่มตื่นเต้นเมื่อพระเอกถูกสารเหลวเข้าที่ร่างกาย และชีวิตธรรมดาๆของเขาก็เปลี่ยนไป

ยอมรับว่าเรื่องนี้ยอดเยี่ยมทั้ง CG อันเนียนสุดยอด เลือดเป็นเลือด หนังเป็นหนัง และเนื้อเรื่องในหนังที่เสียดสีล้อเลียนชีวิตระหว่างมนุษย์กับสิ่งต่างๆที่ร้อยโยงกันเป็นโซ่จักรวาล ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์กับมนุษย์ Human กับ alien และชีวิตของคนๆหนึ่งที่เปลี่ยนแปลงกับชีวิตของอีกคนหนึ่งที่ไม่เปลี่ยนไป ดูแล้วคุณจะรู้สึกว่า...สิ่งที่คุณทำกับชีวิตหนึ่ง อาจจะแตกแขนงไปมากมายกับสิ่งที่คุณจะกระทำกับอีกสิ่งหนึ่ง

และอีกสิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกอึ้งคือ รสชาติอันจัดจ้านของหนัง ทั้งสุข เศร้า เหงา โศก และอารมณ์ต่างๆที่มีให้ครบ ทั้งความรัก ความโหดเหี้ยม และอีกหลายอย่างที่ทำให้รสชาติของหนังเหมือนส้มตำที่รสชาติเยี่ยมจากแม่ครัวชั้นยอด ที่ถ้าคุณลองละเลียดแล้ว ต่อให้คุณเกลียดมันแค่ไหน คุณก็ต้องสนุกไปกับมันอย่างแน่นอน

และอีกอย่าง ถ้าคุณอยากเห็นการทำลายวินาศสันตะโรอย่าง terminator หรือ transformer ล่ะก็ เรื่องนี้มีให้คุณ แต่มันจะไม่ทำลายวอดวาย ระเบิดภูเขา เผากระท่อมอย่างเรื่องแบบนั้น ดูๆไปก็คล้ายกับเรื่องแนวทหาร ใช้ปืน ไม่มีระเบิดตูมตามหรือเผาตึกจนเป็นรูโบ๋

สรุปคือ เรื่องแรกที่ผูกำกับ นีล บลอมแคมป์ ทำนั้น ผมยกให้เป็น DVD ยอดเยี่ยมที่สุดเท่าที่ผมเคยดูมาละกัน ถึงการถ่ายทำกับแนวเรื่องจะไม่ใหม่ แต่ทุกอย่างที่ดู มันดูสดสำหรับผม และผมรู้สึกว่า ตนเองก็เป็นมนุษย์คนหนึ่ง ไม่ได้วิเศษวิโสอะไรมากมาย ตัวเองก็เป็นคนโสมมเหมือนอย่างในเรื่องนั่นละ แหะๆ

ปล.ต่อให้คุณเป็นสัตว์ประเสริฐ แต่สัตว์เดรัจฉานมันฆ่าเพื่อเอาชีวิตรอด แต่สัตว์ประเสริฐอย่างพวกคุณกลับฆ่าเพื่อช่วงชิงทุกอย่าง การฆ่าของพวกคุณ มันแย่ยิ่งกว่าสัตว์เดรัจานซะอีก

วันอังคารที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553


เรื่องนี้ถือว่าเป็นเรื่องที่ผมชอบที่สุดเรื่องหนึ่ง แต่ยังมีจุดที่ต้องแก้ไขนิดหน่อย เลยแก้ไขพร้อมกับตัดตอนจบใหม่ทั้งหมด เชิญอ่านและสับๆได้เลยครับ

ปล.เรื่องนี้เด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี ควรได้รับคำแนะนำ

อาณานิคมหุ่นยนต์ (Revisited)

เมล์ to: vissana2595@XXXXXcom

เรื่อง การทำการบ้าน

วันที่ 29 เดือนธันวาคม 2689

กฤษดา : ผมอยากรู้อยู่อย่างหนึ่งน่ะครับอาจารย์ ว่าอาณานิคมแห่งไหนที่มีการปกครองที่ค่อนข้างแปลกที่สุด และดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยซ้ำกับที่อื่นๆ

คือผมอยากจะลองไปสำรวจการเมืองการปกครองของที่นั่น เพื่อจะทำรายงานเกี่ยวกับทฤษฏีการเมืองครับ

โปรดให้คำชี้แนะด้วย

ผมส่งเมล์ไปทางอาจารย์วิชาสังคมในโรงเรียนที่ผมเคยเรียนอยู่ เพื่อหาในสิ่งที่ผมต้องการ ไม่แน่ใจว่าจะได้ข้อมูลอะไรหรือเปล่า แต่อย่างน้อย ผมก็อยากได้
อะไรสักอย่างที่อาจารย์พอจะให้ข้อมูลได้ก็ยังดี เริ่มรู้สึกกระหายน้ำแล้วสิ ผมคิด ร่างกายของตนเองเริ่มลุกจากเก้าอี้ และเดินไปกดน้ำในกระติก ก่อนที่จะมี
เมล์เข้ามาตอนที่ผมดื่มน้ำอึกสุดท้ายพอดี มือผมยื่นออกไปและกดรับเมล์ทันที

วิศนะ : อาณานิคมหุ่นยนต์ คือคำตอบที่เธอน่าจะไป

ผมมองอย่างงงๆ ก่อนที่จะเปิดอินเทอร์เนต และใส่ข้อมูลว่า “อาณานิคมหุ่นยนต์”

ข้อมูลปรากฏขึ้นค่อนข้างน้อยเมื่อเทียบกับอาณาจักรอื่นๆ รู้เพียงแค่ว่า การปกครองของที่นั่นค่อนข้างไปในทางโบราณ เนื่องจากมีหุ่นยนต์หลากหลาย

ประเภท และหลากหลายแบบอาศัยอยู่เป็นแสนๆตัว ทุกตัวหลบหนีจากการกดขี่ของมนุษย์ และกฎสามข้อ ที่ค่อนข้างจะเป็นกฎที่กดดันพวกมันอยู่พอ
สมควร เหล่าหุ่นยนต์จึงเดินทางมาสร้างอาณานิคมในที่ๆไม่ค่อยมีใครกล้าแตะ คือ ในที่ๆแห้งแล้งประดุจทะเลทราย แต่พื้นที่แห่งนั้นถือได้ว่าเป็นแหล่งอุ้มน้ำขนาดใหญ่พอๆกับเขื่อนเชอโนบิลในอดีตก็ว่าได้ ที่นั่นจึงสามารถขายน้ำและผลิตน้ำกลั่นไว้ใช้เองอย่างอิสระ

ผมปิดคอมพิวเตอร์ลง ก่อนที่จะเปิดโทรศัพท์จองรถเช่าหนึ่งคันเพื่อเดินทาง พร้อมๆกับเก็บกระเป๋า ถ้าอาจารย์อยากให้ไปที่นั่น เขาก็จะลองไปดู

สองสามวันต่อมา ผมก็เดินทางไปตามทะเลทรายวิศรัตน์ที่แห้งแล้ง สู่อาณานิคมหุ่นยนต์ที่ดูใหญ่โตโอ่อ่า ถ้าเทียบกับอาณานิคมที่ตนเองอยู่ ที่นั่นดูกระจอกไปเลย ทั้งเทคโนโลยีที่ดูทันสมัยและวัสดุการทำสิ่งก่อสร้างที่แวววาวเหมือนเพชร แต่ถึงแม้ว่าที่นี่จะดูล้ำเพียงใด พวกเขาก็ไม่ลืมสภาพพื้นที่เดิมๆที่เป็น

ทรายทั้งพื้นที่ ดูเหมือนว่าจะไม่มีต้นไม้เลยสักต้น เพราะค่อนข้างแห้งแล้ง แต่โรงงานน้ำกลั่นที่ผมเห็นลางๆจากด้านในสุดนั้นมีควันขึ้นมาอย่างสม่ำเสมอ นั่นคือแหล่งพลังงานหลักของที่นี่ และผู้คนที่ใช้รถยนต์ทั่วโลก

ผมเลี้ยวรถเข้าถนนหลักขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง ที่นี่ดูเงียบๆจัง ผมคิด ในขณะที่กำลังขับรถไปเรื่อยๆนั้นเอง อะไรบางอย่างที่ดูหนาหนักเหวี่ยงกระแทกเข้า
กระจกข้างรถของผมอย่างแรงจนกระจกแตกเข้าหน้าของผมเอง มือขนาดเล็กที่ดูเหมือนที่หนีบตุ๊กตาข้างหนึ่งจับคอเสื้อผมเอาไว้


วินาทีต่อมา เสียงกระหน่ำตีรถผมก็ดังกึกก้องขึ้นมาเหมือนพสุธาจะทลาย ผมเอามือกุมหัวและปัดมือประหลาดนั้นทันที และอะไรบางอย่างไต่ขึ้นมาบนหลังคารถ เสียงกระหน่ำทุบรถผมยังคงดังอยู่ในหู กระจกด้านข้างแตกละเอียดอย่างรวดเร็ว ก่อนที่จะมีมือจักรกลมาจับผมไว้ ผมพยายามปัดมันออก ก่อนที่
เสียงปืนพกจะดังขึ้น แต่เสียงกระสุนที่พุ่งออกมาราวกับคลื่นเสียง ผมก้มหลบเสียงนั้นอีก และประตูรถก็เปิดผางออกพร้อมๆกับมือหนาสีเงินที่มีข้อต่อและฝ่า

มือคล้ายมนุษย์โผล่ออกมารัดคอของผมเอาไว้ ความรู้สึกแรกคือ ความเย็นจัดเหมือนโลหะ ผมถูกกระชากออกมาจากฝูงอะไรสักอย่างที่ทำให้ผมอ้าปากค้าง
ฝูงเครื่องจักรนับสิบหันมาทางผมเหมือนอาฆาตมานับสิบๆปี พวกมันมีตาสีแดงวาว ร่างกายนั้นดูเก่าๆและหักพัง เหมือนกับทำงานในที่ๆแห้งแล้งมานาน

แขนหลายข้างที่ดูเหมือนที่หนีบยกขึ้นอย่างขู่ขวัญ ก่อนที่พวกมันจะลงจากรถและพุ่งเข้าใส่ผมกับหุ่นยนต์ปริศนา

หุ่นยนต์ผู้ปกป้องหยิบปืนออกมาจากต้นขา และกระหน่ำยิงคลื่นอากาศออกมา ทำเอาหุ่นยนต์หลายตัวที่มีหลายแขนนั่นกระเด็นออกไปกระแทกกับรถผม

ประกอบกับคลื่นอากาศนั้นไปโดนรถด้วย รถจึงเหวี่ยงตัวขึ้นและระเบิดไปต่อหน้าต่อตา!!

“ตุ๊ดติ๊ดๆ” เสียงของหุ่นยนต์ดังขึ้น ผมเอียงคออย่างงงงวย แต่ร่างนั้นวิ่งไปทางซอกตึกกลวงแห่งหนึ่ง ผมจึงวิ่งตามไป หุ่นยนต์เก่าๆค่อยๆลุกขึ้นมาอย่าง
ยากลำบากและพุ่งตัวตามผมมา

แอนดรอยด์ หยิบปืนอัดอากาศมาให้ผมใช้ และชี้ไปทางหุ่นยนต์นั่น ผมกดไกใส่ทันที ปืนยิงอากาศเปรี้ยงออกมา หุ่นยนต์เหวี่ยงกระเด็นออกไปและกระแทก
กับกำแพงหล่นลงไปในกองขยะ


“ตุ๊ด...ติ๊ด...ติ๊ด...ตุ๊ด...ตุ๊ด...” เสียงของหุ่นยนต์ดังขึ้นอีกและถอดหมวกคลุมหน้าออก ผมจึงมองเห็นใบหน้าสีเงินเกลี้ยงเกลาที่ไม่มีใบหน้า
เป็นเพียงโครงหน้าเท่านั้น

“นายจะแนะนำตัวหรือ” ผมถามอย่างสงสัย ร่างของแอนดรอยด์ส่ายหน้าอย่างเหนื่อยใจ และหยิบที่อุดหูออกมาจากกระเป๋าเสื้อคลุมสีน้ำตาลที่ยาวเกินควรนั่น ผมมองอย่างงงๆ แต่ก็หยิบออกมาใส่


“ผมคือ ผรุสวิทย์ เป็นตำรวจท้องที่ของที่นี่”
“เฮ้ย ได้ยินได้ไงเนี่ย” ผมร้อง

“อย่าตกใจไป เครื่องนั้นสามารถทำให้ได้ยินความคิดของพวกเราได้ผ่านทางคลื่นสมองของท่านและพวกเรา” นายตำรวจพูดพลางก้าวข้ามกองขยะที่ล้ม

“แล้วนายรู้ที่อยู่ของฉันได้ยังไงนี่” ผมถามพลางหรี่ตามองแอนดรอยด์ตำรวจอย่างไม่ไว้ใจ

“ท่านสั่งเอาไว้น่ะครับ ถ้าคุณมาถึงอาณานิคม ให้ติดต่อทันที แต่คุณกลับไปอยู่กลางดงหุ่นยนต์แรงงานซะได้” เขาตอบ

“หุ่นยนต์แรงงาน” ผมพูดพลางมองดูโนหลังเหมือนมันจะโผล่อีกรอบหรือเปล่า?


“มันคือหุ่นยนต์แรงงานในทะเลทรายที่มีหน้าที่ขุดแหล่งน้ำขึ้นมาใช้ ว่ากันว่าธุรกิจน้ำของอาณานิคมหุ่นยนต์ราวหกสิบเปอร์เซนต์เป็นสิ่งที่พวกเขาใช้น้ำพักน้ำ
แรงทำมันขึ้นมา แต่ธุรกิจเหล่านี้กลับถูกฮิวมานอยด์ และพวกเราเป็นตัวควบคุม และปล่อยให้พวกเขาเป็นทาส นานวันเข้า พวกเขาไม่พอใจ จึงพยายาม
ประท้วง แต่...”
“แต่...” ผมซ้ำอย่างอยากรู้


แต่แอนดรอยด์เงียบกริบ ผมจึงเงียบไปเหมือนกัน ผมเริ่มวิ่งไปเรื่อยๆ โดยไม่รู้ตัวว่าตนเองกำลังวิ่งไปที่ไหน รู้แต่เพียงว่าตอนนี้ปลอดภัยแล้ว ไม่มีอะไรตามมาข้างหลังอีก แต่ผมก็กำปืนเอาไว้เผื่อสถานการณ์จะเอื้ออำนวยให้ต้องใช้ ผมกับหุ่นยนต์ตำรวจเดินไปเรื่อยๆจนถึงถนนขนาดใหญ่ที่ดูเหมือนศูนย์กลางของที่
นี่ ซึ่งมีตึกขนาดใหญ่เหมือนหลอดประกอบกันอยู่ ผมยืนหอบหายใจและนายตำรวจแอนดรอยด์พูดว่า

“คุณไม่ต้องเป็นห่วง เราน่าจะควบคุมสถานการณ์ได้ในไม่ช้า” นายตำรวจพึมพำ “ขอให้โชคดีครับ”

แล้วเขาก็วิ่งไปทางด้านหลัง ซึ่งก็คือซอกขยะที่ผมเพิ่งรอดตายมานั่นเอง หลังจากที่ผมหายเหนื่อยจากการวิ่งแล้ว ก็เดินไปโดยเริ่มรู้สึกระแวงว่า อะไรจะเกิด
ขึ้นหลังจากนี้ สิ่งที่ผมเห็นต่อมาคือ หุ่นยนต์ขนาดใหญ่เล็กนับร้อยๆตัวที่ดูเก่าและหักพังเหมือนที่ผมเห็นตอนที่ถูกพังรถไปหยกๆ กำลังเดินไปมาให้ว่อน ทุก
ตัวส่งเสียงครืดๆคราดๆเหมือนข้อต่อขึ้นสนิมกำลังเคลื่อนตัว พร้อมๆกับชูป้ายขนาดใหญ่ขึ้นเป็นภาษาคอมพิวเตอร์ ทุกตัวเขียนเหมือนกันหมดว่า

01001000001010010001

“อะไรกันเนี่ย” ผมถามอย่างสงสัยเมื่อพวกมันเดินผ่านผมไป วินาทีนั้นเอง หุ่นยนต์แรงงานตัวหนึ่งหันมาทางผม เสียงข้อต่อเคลื่อนติดๆขัดๆเหมือนกำลัง
เกรี้ยวกราดดังกระหึ่มไปทั่ว ก่อนที่พวกมันนับร้อยจะกรูกันเข้ามาหาผมอย่างบ้าคลั่ง...


“อา…” ผมพยายามจะพูด แต่ทำได้เพียงเสียงแผ่วในลำคอเท่านั้น
พริบตาต่อมา เสียงระเบิดดังกึกก้องขึ้นบนพื้นเหมือนมีคนเหยียบกับระเบิด ร่างนับร้อยลอยขึ้นฟ้าและตกกระแทกกับพื้นเสียงเหมือนช้อนนับร้อยหล่นลงบน

พื้น ผมรู้สึกตัวอีกทีก็มานอนคว่ำหน้าอยู่บนพื้นที่แตกกระจาย ร่างของหุ่นยนต์ที่บาดเจ็บค่อยๆลุกขึ้นอย่างลำบาก เพราะชิ้นส่วนของพวกมันเสียหายหลาย
ส่วนเหมือนกัน

วินาทีต่อมา เกิดระเบิดซ้อนๆกันหลายๆทีจนผมต้องหลบไปที่ถังขยะข้างทาง วินาทีต่อมา เสียงโห่ร้องของหุ่นยนต์ทหารดังกึกก้องขึ้น เสียงเอียดออดของหุ่นยนต์คำรามดังสนั่นตามมาเป็นระลอก แต่ก่อนที่ผมจะรู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้นต่อไป ผมก็ถูกร่างของนายตำรวจคนหนึ่งกระชากหลบไป วินาทีต่อมา เกิดหลุม

แรงโน้มถ่วงขึ้นตรงที่ผมหลบมุมอยู่เมื่อครู่ ทำเอาถังขยะบุบบูบี้ไปเลย

“ไปเร็วครับท่าน” เสียงของหุ่นยนต์ตำรวจพูดอย่างเคร่งขรึม ก่อนที่จะพาผมหลบจากความวินาศสันตะโร ไปสู่สถานีตำรวจ

“เกิดอะไรขึ้นกับที่นี่กันแน่” ผมร้องอย่างไม่พอใจ เมื่อเขาจับผมนั่งลงกับเก้าอี้แล้วเดินออกไปนั่งบนโต๊ะอย่างไม่สบอารมณ์

“เพราะพวกคุณนั่นละ ที่ทำให้เกิดเรื่องแบบนี้!!” เสียงหุ่นยนต์คำรามอย่างไม่พอใจและถลันเข้ามากุมมือรอบลำคอของผมเอาไว้ สายตาข้างในใบหน้า
เกลี้ยงเกลาสีเงินนั้นดูไร้ความรู้สึก ผมจ้องมองใบหน้านั้น ก่อนที่มันจะปล่อยผมไปกระแทกกับพื้นอย่างแรง และเขาลากเก้าอี้เข้ามาหาผม นั่งลง แล้วพูด
อย่างพยายามทำให้สงบราบเรียบว่า

“ตั้งแต่พวกมนุษย์สร้างสมองกลที่เหมือนมนุษย์ พวกเราก็เดือดร้อนมาโดยตลอด”

“หมายความว่าไง” ผมถามอย่างสงสัย แต่น้ำเสียงของผมดูสงบลง

“ฮิวมานอยด์อย่างพวกเรามีมันสมองที่ฉลาดล้ำอย่างมนุษย์ แต่ไร้ความรู้สึก พวกเราจึงเป็นผู้ปกครองอาณานิคมหุ่นยนต์ได้อย่างง่ายดาย ผิดกับพวกหุ่นยนต์

ข้างนอกนั่น ที่ถึงแม้ว่าจะมีมันสมองที่ไม่เทียบเท่ามนุษย์ แต่พวกเขาถูกใส่ ‘ความรู้สึก’ ลงไป โดยเผ่าหุ่นยนต์ที่ต้องการให้พวกเขามีความรู้สึก ก็เพื่อให้
สามารถควบคุม และให้พวกเขาเกรงกลัว ทำให้พวกเขาถูกควบคุมได้อย่างง่ายดาย และกลายเป็นทาสของพวกเรา”

“แต่นานวันเข้า ความรู้สึกของพวกมัน ก็กลายเป็นตัวผลักดัน ที่ทำให้พวกมันอยากมีมันสมองอย่างพวกเราบ้าง แต่สมองกลนี่แหละ ที่ทำให้พวกเราเป็นผู้ปกครอง และพวกหุ่นยนต์แรงงานกลายเป็นทาส พวกเรา ซึ่งไม่อยากให้พวกมันมีอำนาจพอๆกับพวกเรา จึงพยายามคัดค้านอย่างหนัก... จนในที่สุด
ก็เกิดเป็นสงครามมานานจนถึงปัจจุบัน”

อึ้งไปพักหนึ่ง ผมมองดูหุ่นยนต์ที่ตอนนี้หันไปอีกทางหนึ่ง ก่อนที่จะพูดว่า

“ตอนนี้สิ่งที่คุณควรจะทำคือ หนีไปจากที่นี่ซะ แล้วลืมที่นี่ให้หมด ลืมความวุ่นวายของที่นี่ไป หรือถ้าเธออยากเผยแพร่อะไรให้ใครฟัง ทุกคนก็คงไม่ห้าม
เธอ แต่จงจำเอาไว้ว่า ไม่มีอาณานิคมไหนที่มันสมบูรณ์แบบในตัวของมันเองหรอกนะ ทุกคน ทุกๆอาณานิคมต่างมีปัญหาด้วยกันทั้งนั้น แตกต่างกันแค่ว่า
จะมีปัญหามากน้อยแค่ไหนเท่านั้นละ เอาละ มีรถคันหนึ่งที่ถูกทิ้งเอาไว้ตรงนั้น มีกุญแจเสียบคาเอาไว้แล้ว เธอรีบหนีออกไปจากที่นี่ซะจะดีกว่า”

ผมพยักหน้ารับ และลุกขึ้นยืนอย่างเนือยๆ เพราะร่างกายของผมถูกใช้งานไปมากในหลายชั่วโมงมานี้ แต่ผมยังมีคำถามๆหนึ่งที่อยากจะถามเขา

“ทำไมคุณถึงรู้ว่าผมอยู่ที่นั่นล่ะ ทั้งๆที่มีแต่หุ่นยนต์อยู่ที่นั่นแท้ๆ” ผมถามอย่างสงสัย

เขาเอียงคอไปข้างหนึ่ง ก่อนที่จะตอบว่า


“อาจารย์วิชาสังคมของคุณที่ติดอยู่ที่นี่เป็นคนติดต่อผม บอกว่า คุณอยู่ที่ศูนย์กลาง ให้รีบไปช่วย”
“แล้วตอนนี้ท่านอยู่ที่ไหนหรือครับ” ผมถามอย่างงุนงง

“ช่างโชคร้าย...” นายตำรวจแอนดรอยด์พูดพลางส่ายหัวอย่างโศกเศร้า “เขาติดแหงกอยู่ที่ศูนย์กลางที่ตอนนี้กำลังเกิดเหตุจลาจล และคนที่อยู่ที่นั่นก็
เหมือนไม่มีชีวิตไปครึ่งตัว เพราะไม่มีไฟฟ้า ไม่มีอะไรที่จะสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้โดยมนุษย์”


ผมนิ่งคิดอยู่ชั่วครู่หนึ่ง และดูเหมือนตำรวจจะเดาใจผมได้ มันพูดว่า
“สิ่งที่อาจารย์ของเธอสั่งไว้เป็นครั้งสุดท้ายคือ ให้เธอทำรายงานเกี่ยวกับการเมืองแบบชนชั้นที่ไร้เสถียรภาพของที่นี่ เธอก็เห็นอยู่ ที่นี่ควบคุมอะไรไม่ได้โดย

หุ่นยนต์อีกแล้ว เพราะสิ่งที่พวกเขาทำในตอนนี้ไม่มีมันสมอง แต่ความรู้สึกของพวกเขาเป็นตัวนำให้เกิดจลาจล พวกเรามีมันสมอง แต่ไม่มีความรู้สึก เราจึงไม่เข้าใจพวกเขา แต่พวกมนุษย์ภายนอก ที่มีทั้งความรู้สึกและมันสมองอย่างพวกเรา จะเป็นคนที่เข้าใจพวกเขา และอาจจะทำให้เรื่องของพวกเรา...จบ
ลงได้เสียที”


“เอาละ ไปได้แล้ว ระวังพวกมันด้วย” เขาพูดพลางเดินไปนั่งลงบนเก้าอี้ ผมมองดูอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะเดินออกไป ทิ้งให้ตำรวจแอนดรอยด์เฝ้าที่นั่นต่อไป

ผมเดินไปเรื่อยๆ ที่นี่ดูเหมือนว่าจะเป็นที่ๆเดียวที่ไม่เกิดอะไรขึ้นเลย คงเป็นเพราะตำรวจพยายามปกป้องสถานที่แห่งเดียวที่จะสามารถติดต่อโลกภายนอกได้ละกระมัง ผมคิด และผมก็เห็นรถคันหนึ่งที่จอดอย่างโดดเดี่ยวข้างในสุด ผมรู้ทันทีว่าเป็นรถที่อาจารย์ส่งมาให้ เพราะผมจำรถคันนี้ได้ อาจารย์วิชาสังคม

มักจะเดินทางมาด้วยรถคันนี้ตลอด ผมเดินขึ้นรถ และสตาร์ทรถอย่างรวดเร็ว
แต่วินาทีต่อมา ผมก็รู้ทันทีว่าเหตุการณ์มันไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด


เพราะหุ่นยนต์แรงงานตัวหนึ่งพุ่งเข้ามาจากหลังคา และทุบรถผมอย่างแรงจนบุบ อีกไม่กี่นาที รถก็สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง เมื่อหุ่นยนต์แรงงานจำนวนมากกรูกันเข้ามาหมายจะทุบรถ ผมพยายามเหยียบคันเร่งอย่างแรงจนมันกระเด็นออกไปคนละทิศละทาง ผมเลี้ยวออกจากสถานีตำรวจ พวกมันที่ล้มลุกขึ้นมา

อย่างรวดเร็วและพุ่งตัวตามผมมา
ผมเร่งความเร็วไปที่หนึ่งร้อยกิโลเมตรต่อชั่วโมงเพื่อเอาตัวรอด ผมไม่สนใจกฎหมายอีกแล้วในเมื่อความตายอยู่ห่างเพียงช่วงถนนเท่านั้น รถพุ่งตัวเหมือน

จรวดออกไปตามถนน ผมเลี้ยวไปตามทางที่ออกถนนใหญ่ที่ผมเคยผ่าน ซึ่งจะออกไปที่ถนนใหญ่ได้ แต่วินาทีที่ผมมาถึงส่วนที่เกิดรถระเบิดจนควันลอยขึ้น
คลุ้งไปหมด ผมก็พบว่า มีหุ่นยนต์แรงงานมากมายเดินเป็นขบวนมาทางนี้อีก และผมก็โชคร้ายที่มันเจอะกับผม

พวกมันพุ่งเข้าใส่ผมเหมือนกระทิงบ้า
สัญชาตญาณของผมควรจะหันหลังโกย แต่ผมคิดว่า ถ้าจะฝ่าฟันอะไร ควรจะฝ่าไปให้ถึงที่สุด มือจึงใส่เกียร์เร่ง เหยียบคันเร่งเป็นร้อยยี่สิบ ก่อนที่จะพุ่ง

เข้าใส่หุ่นยนต์บ้าเลือดพวกนั้น พวกมันพุ่งเข้าหาผมอย่างไม่เกรงกลัวอันใด สายตาของผมตอนนี้เหมือนประตูที่กำลังจะมีแสงสว่างน้อยลงทุกทีๆ นี่มันการ
กระทำที่บ้าระห่ำชัดๆ แต่ผมก็ต้องทำ เพื่อเอาตัวรอด

รถพุ่งเข้าใส่ร่างอันเก่าพังของหถุ่นยนต์อย่างเต็มๆแรง ร่างของพวกมันนับสิบหมุนคว้างและหล่นกระแทกพื้นดังตึง!! พวกมันมีท่าทีตกใจและก้าวถอยไป แต่สักพักหนึ่ง พวกมันจะโอบล้อมเข้ารถยนต์ของผมแน่ๆ ผมจึงรีบขับต่อไป


ผมขับมาเรื่อยๆในขณะที่เสียงกึงกังของหุ่นยนต์ที่ไล่ล่าผมอยู่เป็นฉากหลัง ผมเน่งความเร็วมากขึ้นกว่าเดิม หุ่นยนต์เป็นโขยงกำลังวิ่งตามมาอย่างรวดเร็ว จนเมื่อผมวิ่งมาถึงเขตเมือง ผมก็เป่าปากเสียงดังฟู่อย่างรวดเร็วเหมือนกับรู้ตัวเองว่า รอดแล้ว ในขณะที่พวกหุ่นยนต์ที่วิ่งๆอยู่ จู่ๆก็มีอาการหยุดชะงัก และ
มองผมที่ห่างออกไปอยู่ที่หน้าเมือง เหมือนมีอะไรบางอย่างที่น่ากลัวอยู่ที่นอกเมือง


แต่ตอนนี้ ผมนึกภาวนาอยู่ในใจว่า ผมรอดออกมาจากที่นั่นแล้ว
……………………………………………………………………………….
สองถึงสามวันต่อมา

ผมกำลังนอนพักผ่อนด้วยความเหนื่อยอ่อน ช่วงสองสามวันที่ผ่านมานั้น ผมอาเจียนไปหลายครั้งด้วยความกลัว เนื้อยังเต้นระริกกับการเอาตัวรอดของตัว
เอง ร่างกายของตนเองนั้นดูเหนื่อยอ่อนไม่มีที่สิ้นสุด ผมกำลังคิด...ว่าจะทำอย่างไรต่อไปดี

ตึง!!

เสียงระเบิดดังกึกก้องขึ้นมาในหู ทำเอาเนื้อกายของผมสั่นสะเทือนด้วยความตื่นตัว ผมหยิบอาวุธที่ใกล้ตัวที่สุดออกมาจากแก้วที่วางอยู่ในครัว มีดทำครัวสี
เงินเป็นประกายวับในแสงสลัวของตอนค่ำ ผมยื่นศีรษะออกไปที่นอกหน้าต่างเพื่อมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

สิ่งที่ผมเห็นเกือบทำเอาผมช็อค


ภาพของหุ่นยนต์แรงงานในอาณานิคมหุ่นยนต์กำลังใช้คีมขนาดใหญ่ฉีกศีรษะมนุษย์แยกออกจากคอ หุ่นยนต์ตัวหนึ่งใช้ปืนระเบิดยิงออกไป วินาทีต่อมา เสียงตึง!! ของระเบิดดังกึกก้อง


ผมรีบวิ่งออกไปที่ประตูอย่างรวดเร็ว แต่ผมรู้ตัวว่ามันสายเกินไป เมื่อประตูถูกทำลายด้วยเลื่อยสองชั้น เสียงเลื่อยเฉือนเนื้อประตูดังชวนเสียวสันหลังในหู
ผมรู้ทันทีว่า...
ผม-ไม่-มี-ทาง-รอด!!

……………………………………………………………………….

ข่าววันที่ 5 มกราคม 2690

หุ่นยนต์แรงงานในอาณานิคมหุ่นยนต์ถูกไวรัส ความบ้าคลั่งเกินควบคุมเริ่มลามสู่อาณานิคมต่างๆ

ข่าววันที่ 6 มกราคม 2690

ทหารถูกสังหารเรียบในยุทธการทำลาย เป็นเหตุให้อาณานิคมอเมริกันถูกทำลายจนราบ


วันที่ 7 มกราคม 2690

ยุคสมัยเปลี่ยนไปแล้ว...เหลือเพียงพวกเราที่ครองโลก!!

surrogate : หนังใหม่ที่ไม่มีอะไรใหม่
ผมเพิ่งดูภาพยนตร์เรื่อง surrogate จากที่แม่เอามาให้ดู ถึงแม้ว่าหนังจะดูแปลกใหม่ที่มนุษย์สวมรอยเป็นหุ่นยนต์ก็ตาม แต่พล็อตและความคิดในเรื่องไม่ใช่ของใหม่

หุ่นยนต์ในเรื่องนั้นถูกควบคุมโดยมนุษย์ที่ไม่ได้ทำอะไรเลย นอกจากนี้ หุ่นเหล่านั้นยังมีความเป็นหนุ่มเป็นสาว ผิดกับมนุษย์บางคนที่อาจจะเป็นเกย์ หรืออาจจะแก่เฒ่าแล้วอยากเป็นสาว อะไรประมาณนั้น

มนุษย์มีขีดจำกัดในด้านสรีระร่างกายที่ไม่สามารถปรับแต่งได้ง่ายๆเหมือนหุ่นยนต์ และมีอายุการใช้งานจำกัด ผิดกับหุ่นยนต์ที่มีพลัง ไร้ขีดจำกัด และเป็นหนุ่มเป็นสาวตลอดกาล

แต่ถึงแม้ว่าหุ่นยนต์จะปลอดภัย แต่หุ่นยนต์ที่ไม่มีข้อจำกัด ก็ทำให้มนุษย์เสื่อมโทรมลง จนเกิดการปฏิวัติอย่างที่เห็นในท้ายเรื่อง

ถึงแม้ว่าโลกใน surrogate นั้นจะเป็นโลกใบใหม่ที่มีความปลอดภัยสูง แต่สิ่งที่เกิดขึ้นบนโลกนั้นยังเป็นสิ่งเดิมๆไม่มีการเปลี่ยนแปลง ทั้งสงคราม ทั้งฆาตกรรม และความรัก

ตราบใดที่มนุษย์ยังมีกิเลสและมีความต้องการในกิเลสอยู่ โลกใบนี้ก็คงจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆไปกว่านี้อีกแล้ว

มนุษย์ยังคงเป็นมนุษย์...

ต่อให้มีการเปลี่ยนแปลงไปกว่าหนึ่งร้อย หรือหนึ่งพันปีก็ตาม...

ปล.เดี๋ยวจะเอาอาณานิคมหุ่นยนต์ ฉบับ revisited มาลงครับ อดใจรอกันนิดนึง...

ปล2. ไม่มีใครเข้าบล็อกผมเลยหรือ กะแง้......



ไดอารี่อนาคตกาล (director's cut)

วันที่ 8 พฤษภาคม 2582

เป็นครั้งแรกที่เขาก้าวเข้ามาในห้องทำงานของคุณตา หลังจากที่คุณตาเสียชีวิต

เด็กหนุ่มวัยสิบเจ็ดนึกอย่างกลัวๆในขณะที่ผลักประตูกระจกสีหม่นเข้าไปในห้อง...

เป็นห้องทำงานที่ดูธรรมดากว่าที่เด็กชายคิดเอาไว้ คอมพิวเตอร์โฮโลแกรมที่ดูเหมือนถ้วยวางไข่เอเลี่ยนขนาดใหญ่วางฝุ่นเกรอะอยู่ที่โต๊ะทำงาน แน่ละ คอมพิวเตอร์ตัวนี้ไม่ได้ใช้มากว่าสี่ถึงห้าเดือน มันก็ต้องฝุ่นเกาะอยู่แล้ว หนังสืออีกมากมายที่จัดวางอยู่อย่างเป็นระเบียบผิดกับห้องของตนเองที่ดูรก รวมทั้งแผนที่ยูราเชียโบราณ และลูกโลกเสมือนจริงที่หน้าจอทรงกลมที่ทำจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ดูอึมครึมเหมือนความคิดของเขา
เพราะคุณยายของเขาทีเดียวที่ตอบด้วยรอยยิ้มฟันหลอว่า

“ไปที่ห้องทำงานของคุณตาสิ แล้วเธอจะพบคำตอบ”

เมื่อนรินทร์ถามว่า

“ในอนาคต เขาจะทำอะไรเป็นอาชีพดี”

เขาจึงเดินเข้ามาที่นี่เป็นครั้งแรก หลังจากที่คุณตาเสียไปได้สามเดือน

อันที่จริง เขาเคยเข้ามาที่นี่แล้ว แต่เพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้น เพราะคุณตามักจะทำงานที่นี่จนดึกอยู่ตลอด เขาเข้าได้ก็ตอนที่กำลังจะจากที่นี่ไปตอนอายุสิบขวบ
เพื่อไปอยู่กับคุณแม่ เพื่อหยิบหนังสือสองเล่มที่คุณตาคิดจะให้มานานแล้วกลับไป นั่นคือหนังสือ ‘นิทานเซน’ กับหนังสือภาพเกี่ยวกับประธานาธิบดีสมัย
ต่างๆ

(ว่าแต่...ข้อมูลในนี้มันเยอะจริงๆ แล้วเขาจะเริ่มจากอะไรก่อนดีล่ะ)

นรินทร์นึกนึกพลางเอานิ้วแตะปาก เด็กหนุ่มมองไปรอบๆชั้นหนังสือเจ็ดชั้นที่สูงจรดเพดาน ซึ่งล้อมรอบตัวเขาสามด้านติดกำแพง ไม่รวมถึงชั้นเล็กๆสามชั้นที่วางอยู่บนโต๊ะ ซึ่งในนั้นมีหนังสือภาพนิทานเล็กๆเต็มไปหมด

แล้วเขาจะเริ่มจากหาอะไรก่อนดี...

สายตาของนรินทร์เหลือบไปเห็นหนังสือปกหนังเล่มเล็กพอๆกับฝ่ามือที่วางอยู่บนโต๊ะ มันเป็นสมุดบันทึกที่ดูใหม่อยู่มาก แต่ฝุ่นหนาทำให้มันดูเก่า เขาเดินไปหยิบมันขึ้นมาปัดฝุ่นออกอย่างระมัดระวังที่ปก

ปีที่เป็นอักษรสีทองตัวหนาบอกถึงปีปัจจุบัน พ.ศ. 2582 ปกสีน้ำตาลของมันดูหนาและนุ่มมาก มันดูเหมือนทำจากหนังสังเคราะห์ เขานั่งลงบนโต๊ะสีเทาที่มีโคมไฟ และเปิดสมุดออกอย่างระมัดระวัง

เป็นครั้งแรกที่เขาได้อ่านไดอารี่ของคุณตา...

ผู้ที่ได้ชื่อว่าเก่งกาจในหลายด้าน ทั้งการแปลหนังสือ เขียนเรื่องสั้น นิยาย ผู้ประกาศข่าว มัคคุเทศก์ ความรอบรู้ของเขามีมากกว่าคนอื่นๆที่ดังๆสมัยนี้เสียอีก

แต่สิ่งที่ทำให้ชายชราไม่ค่อยโด่งดังมากนักในแง่วิชาชีพ คือความคิดที่ไปไกลสุดกู่ของเขา คุณตามักจะคิดถึงแต่เรื่องราวของโลกอนาคตที่ดูแปลกแยก ถึงแม้นรินทร์จะไม่รู้ว่าเขาจะคิดไปทำไม เพราะเขาไม่สามารถใช้ชีวิตได้นานมากกว่านี้อีกแล้ว แต่คุณตามักจะเขียนปรัชญาเกี่ยวกับโลกอนาคตเสมอในผลงานของเขา

“โลกอนาคตนั้นสวยงามแน่หรือ ในเมื่อความคิดของมนุษย์ยังไม่เจริญตาม”

เขาถามตัวเองเสมอเกี่ยวกับความคิดของชายชราเมื่อนึกถึงสมัยปัจจุบันของกรุงเทพฯ ที่ตอนนี้ทันสมัยจนถึงขีดสุด ยิ่งกว่าประเทศบางประเทศเสียอีก มันไม่
เห็นจะมีอะไรที่น่าเป็นห่วงอย่างที่บทความของคุณตาบอกเอาไว้

วันที่ 1 มกราคม 2582

วันนี้ฉันก็ตื่นขึ้นมาพบกับความเสื่อมโทรมของโลกอนาคตเหมือนเดิม

เสื่อมโทรมหรือ หมายความว่าอย่างไรกัน นรินทร์นั่งขัดสมาธิบนเก้าอี้และอ่านต่อไปด้วยใจจดจ่อ

วันปีใหม่ ฉันนั่งตักบาตรกับพระรูปหนึ่งและแอนดรอยด์เด็กวัดอีกตัวหนึ่งที่ส่งเสียงติ๊ดๆขอเศษตังค์เพื่อวัด ฉันคิดว่าพวกเขาดูไม่มีความคิด ดูเหมือนพวก
พวกหุ่นยนต์ขอเงินเพื่อการกุศลมากกว่า ฉันให้เงินไปประมาณหนึ่งร้อยบาท แล้วพวกเขาก็ไปพร้อมกับเสียงตุ๊ดๆติ๊ดๆเหมือนอย่างเคย ฉันกลัวว่าพวกมนุษย์จริงๆจะหายไปจากโลกทั้งหมด เพราะความเอาแต่ใจตัวของมนุษย์จริงๆ

ข่าวเกี่ยวกับการเมืองในวันนี้ในโทรทัศน์โฮโลแกรมก็ไม่มีอะไรมากนัก นอกจากนายกฯทะเลาะกับประธานาธิบดีเมืองกุโร ดาวเอกพละเนตเรื่องการส่งออกแร่
ข้ามดวงดาว มันช่างเป็นเรื่องที่ไร้สาระ แต่เรื่องนี้กลับส่อเค้าวุ่นวาย เมื่อต่างฝ่ายต่างไม่ยอมลงให้กัน คนหนึ่งก็คิดว่าฝ่ายตัวเองถูกที่ส่งออกแร่แล้วขาดทุน
ควรจะได้มากกว่านี้ ส่วนอีกฝ่ายนั้นต้องการแร่มากกว่านี้ในราคาถูก ทำเหมือนพวกเด็กๆไม่รู้จักโต และถึงแม้ว่าในปีใหม่นี้จะมีข่าวดีอย่างลูกไลเกอร์กลิ้งตัว

ได้สำเร็จ แต่มันก็ยังดูไร้สาระ

ดูภายนอกบ้านของกรุงเทพฯ รุ่งเรืองและเจริญด้านเทคโนโลยี แต่ชนบทกลับไม่มีใครดูแลและไม่มีใครพูดถึงเลยแม้แต่นิดเดียว ต่อให้เป็นใบปลิวก็เถอะ

สงสัยทุกคนคงจะลืมความคิดแต่เดิมของพ่อแม่ไปจนหมดแล้วละกระมัง

ยิ่งความคิดสมัยโบราณเรื่องไม้ตะเกียบ คงยิ่งไม่มีอยู่ในสารบบ เพราะขนาดนักการเมืองยังทะเลาะกันเองเลย นับประสาอะไรกับประชาชนในตอนนี้ล่ะ จริง

ไหม

เฮ้อ...

วันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2582


ขอโทษทีที่คนแก่ๆอย่างฉันไม่ได้เขียนบันทึกเสียนาน พอดีเข้าโรงพยาบาล สุขภาพไม่ดี คนแก่ก็แบบนี้ละ โรคร้ายรุมเร้า

นรินทร์ก็จำวันนั้นได้ดี หลังจากหยุดวันปีใหม่วันสุดท้ายได้ประมาณสามสี่วัน คุณตาเกิดอาการทรุดเพราะโรคเบาหวานขึ้นมาอีก และถูกส่งโรงพยาบาล
เอกชนแห่งหนึ่ง ก่อนที่จะกลับบ้านได้ในอีกหนึ่งเดือนต่อมา
โรงพยาบาลก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ฉันอยากจะบ่น ถึงแม้ว่าจะมีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกมากมายแค่ไหน แต่ก็ดูไร้ชีวิต เหมือนกรุงเทพในปัจจุบันที่ไม่มีชีวิต
ชีวาเหมือนในสมัยก่อนเอาเสียเลย ที่นี่ก็ไม่ต่างกันนัก ทุกอย่างดูไม่มีชีวิตชีวาเหมือนสมัยนี้นั่นละ ผิดกับสมัยเมื่อสามสิบกว่าปีก่อนที่นางพยาบาลยิ้มอย่างเข้า
อกเข้าใจ และหมอก็พยายามที่จะเข้าใจคนไข้อย่างสุดความสามารถ แต่ตอนนี้ อะไรๆก็เป็นเครื่องจักรกับข้อมูลไปหมดแล้ว ขนาดหมอยังเป็นแอนดรอยด์เลย

ไม่มีรอยยิ้ม ไม่มีอะไรที่ดูเป็นของจริงอีกต่อไป




วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2582

ช่วงนี้มัวแต่นอนซมเพราะโรคคนแก่ เลยไม่ได้อ่านอะไรเลย แต่มันก็ดีอยู่อย่างที่ลูกชายมาหาและหยิบเอาหนังสือการ์ตูนญี่ปุ่นออกมาจากบ้านให้ฉันอ่านด้วย
เป็นเรื่องที่สนุกมากๆเลยทีเดียว ชื่อเรื่องว่า...วันๆอะไรนี่ละ

(วันพีซ...) นรินทร์พูดพลางฉีกยิ้มน้อยๆ


ในตอนที่ฉันเห็นฉากความยิ่งใหญ่ของทหารเรือ ไม่ว่าจะเป็นหุ่นยนต์ หรือกองทหาร หรือไม่ก็ทหารยศใหญ่(ที่มีความสามารถ) ทำให้ฉันนึกถึงเมื่อ
สมัยก่อน เมื่อการททหารเริ่มแทรกแซ.การเมือง แต่ในตอนนี้ การเมืองกับการทหารเกี่ยวข้องกันจนแยกไม่ออก เหมือนผีเน่ากับโลงผุเลยละ (ฮา) ไม่
ต่างจากการทหารและสงครามระหว่างดวงดาวที่มีซุปเปอร์คอมพิวเตอร์เข้ามาเกี่ยวข้องในด้านการวางแผนการรบ ถึงแม้ว่าจะไม่มีการผิดพลาดใดๆ แต่การ
ที่ไม่มีมนุษย์เข้ามาช่วยโต้แย้งกันก็ทำให้หงุดหงิดอยู่พอสมควร เพราะมนุษย์ที่โต้แย้งกันจะทำให้มีความคิดที่หลากหลายเพื่อนำไปใข้ในครั้งต่อไป ซุปเปอร์
คอมพิวเตอร์เครื่องเดียวจะไปประมวลอะไรได้มากมายนัก ยิ่งไปกว่านั้น ทั้งๆที่มนุษย์มีสมองที่สามารถรับข้อมูลได้มากกว่าเจ็ดพันล้านกิกกะไบท์ ดีกว่าซุป
เปอร์คอมพิวเตอร์บางรุ่นเสียอีก และที่สำคัญมากไปกว่านั้น ก็มนุษย์เองนั่นละที่ประดิษฐ์ซุปเปอร์คอมพิวเตอร์ขึ้นมา แล้วทำไมถึงไม่สามารถคิดได้พอๆกับซุป
เปอร์คอมพิวเตอร์ล่ะ

นรินทร์ฉีกยิ้มอย่างขบขัน ก่อนที่จะอ่านต่อไป

วันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2582

มัวแต่ นอน นอน นอน ทำให้โลกนี้มันดูน่าเบื่อ ไม่ค่อยได้ติดตามข่าวสารอะไรกับเขามากนักหรอก แต่ก็ดีที่ยายหยิบวิทยุออกมาจากห้องทำงานแล้วเปิดให้
ฉันฟัง ไม่อย่างนั้นฉันคงเบื่อตายเสียก่อน

เรื่องของข่าวลือกลายเป็นของธรรมดาไปเสียแล้วสำหรับข่าววิทยุ มีข่าวทำนองนี้ออกมาให้เห็นอยู่เป็นประจำ ทั้งข่าวลือที่ว่าจะเกิดสงครามดวงดาว ข่าว
อะไรต่างๆ ถึงแม้ว่าจะปิดข่าวมากแค่ไหน แต่ก็ยังไม่พ้นข่าวลือ เฮ้อ...


พูดถึงทูตในมัยนี้ดูเจ้าเล่ห์เหลือร้าย ถึงแม้ว่าพวกเขาจะเข้าไปในประเทศอื่นๆเพื่อเจรจาในด้านต่างๆ แต่ด้านหลังมือของนักการทูตเหล่านั้น กลับซ่อนความละโมบอยากได้และอาวุธมีดที่ไม่จำเป็นทางการเมืองเอาไว้ หลายสิ่งที่เมื่อทำไม่ได้ และไม่สมหวัง ก็จบลงด้วยความเศร้าโศก และด้วยสงคราม


แต่สิ่งที่สามารถทำให้ทุกอย่างไม่เป็นอย่างนั้นอยู่ในหัวใจของมนุษย์นี่ละ แค่หันหน้าเข้าหากัน หยุดทำตัวเป็นศูนย์กลางของจักรวาล แล้วร่วมคุยกันอย่างเป็นทางการ เปิดใจให้กัน จริงใจ ไม่ปลิ้นปล้อน

แต่มนุษย์จะทำได้อย่างไร ในเมื่อมนุษย์ยังมี ‘ความเห็นแก่ตัว’ อยู่

หลังจากหน้าบันทึกวันนั้น หน้ากระดาษที่เหลือก็ว่างเปล่าทั้งหมด ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจว่าทำไม คุณตาเริ่มมีอาการทรุดตั้งแต่สองสามวันหลังจากเขียนบันทึก

เล่มนี้ แล้วเขาก็เสียชีวิตในอีกหนึ่งเดือนต่อมา เขาจึงไม่ได้บันทึกอะไรอีกเลย
นรินทร์ปิดสมุดบันทึกดังปั่บ และวางมันลงบนโต๊ะ ก่อนที่จะถอนหายใจหนักหน่วง ถึงแม้ว่าจะเป็นแค่สี่วัน แต่ความคิดของคุณตาที่ระบายออกมาก็มากมาย

เสียเหลือเกิน เขานั่งลูบหน้าผากอยู่นานทีเดียว ก่อนที่จะเริ่มคิด

(สิ่งที่คุณตาบันทึกเอาไว้ ช่างมากมายเกินกว่าจะเป็นบันทึกระบายอารมณ์)

(มันเหมือนกับคำทำนายว่าโลกกำลังเจอกับวิกฤติร้ายแรงเพราะฝีมือมนุษย์ที่เอาแต่ใจ)
(ทำไมเขาอ่านแล้วรู้สึกสะท้อนใจแบบนี้นะ)

นรินทร์ค่อยๆมองไปรอบๆ ชั้นหนังสือทั้งเจ็ดชั้นที่สูงจดเพดานเต็มไปด้วยหนังสือเกี่ยวกับเรื่องราวต่างๆมากมายที่ยัดลงกะโหลกน้อยๆของเขาไม่หมด ไม่
ว่าจะเป็นวิทยาศาสตร์ การเมือง สังคม วัฒนธรรม เศรษฐศาสตร์ เกษตร เครื่องกล นิยาย เรื่องสั้น และอื่นๆเต็มไปหมด


(คุณตาบันทึกเกี่ยวกับความเสื่อมถอยของมนุษย์ที่คุณตามองเห็นในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา)

(เขาต้องทำอะไรบ้าง ก่อนที่ความเสื่อมถอยนั้นจะเกิดขึ้นจริงๆ)


(แต่การแก้ไขแบบนี้ เขาไม่สามารถทำด้วยตัวเองคนเดียวในเวลานี้ได้)

(เด็กตัวเล็กๆอย่างเขาจะทำอะไรได้ในตอนนี้)

นรินทร์เดินออกมาจากห้องทำงานด้วยความรู้สึกหนักอึ้งทางคาวามคิดยิ่งกว่าตอนที่เข้ามาเสียอีก ก็พอดีได้ยินเสียงข่าวทางโทรทัศน์โฮโลแกรม
“ขณะนี้ นายกรัฐมนตรีได้ประกาศภาวะสงครามระหว่างประเทศไทย กับเมืองกุโร ดาวเอกพละเนต ที่เมื่อสองสามเดือนก่อน เป็นข่าวกับไทยเกี่ยวกับความ
ขัดแย้งด้านการส่งออกระหว่างดวงดาว กับการปักปันเขตแดนระหว่างเมืองในดวงดาวกุโรเพื่อทำเหมืองแร่…”

คุณยายที่กำลังปอกแอปเปิ้ลให้หลานที่มาเยี่ยมถึงกับทำแอปเปิ้ลหล่นและอ้าปากค้าง นรินทร์มองดูนายกรัฐมนตรีของประเทศไทยพูดด้วยน้ำเสียงเหนื่อยอ่อน

เหมือนกับไม่ได้นอนในหลายวันมานี้ ชายหนุ่มวัยห้าสิบสองพูดผ่านเครื่องโทรศัพท์สามมิติในห้องทำงาน

“โชคร้ายจริงๆที่เราต้องมาเจอสถานการณ์สงครามระหว่างดวงดาวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ผู้นำในเมืองกุโรไม่ยอมรับข้อตกลงในตอนแรกของพวกเรา ที่จะ
ปักปันเขตแดนทางตอนเหนือของดวงดาวเพื่อการทำเหมืองของพวกเรา ทั้งๆที่ถ้าเราทำเหมืองในดวงดาวของพวกเขา จะได้รับสิทธิประโยชน์มากมาย แต่พวกเข่ากลับคิดว่าพวกเราจะไปแงชิงดินแดนของพวกเขาเพื่อเป็นอาณานิคม แถมพวกเขายังประกาศสงครามกับเราก่อนด้วยการลอบสังหารนักการทูตของ
เราด้วย เราจึงต้องประกาศภาวะสงครามกับประเทศเราอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้อีกแล้ว...”


นรินทร์นิ่งอึ้งไปนานทีเดียว สิ่งทีคุณตาทำนายเอาไว้ผ่านสมุดบันทึกกำลังจะเป็นความจริงเสียแล้ว...

(เขาควรจะทำอย่างไรดี...

ทำอย่างไรดี...
ทำอย่างไรดี...)

ดวงตาสีดำของนรินทร์สว่างวาบขึ้นมาในทันที

(เขาตัดสินใจได้แล้ว)

“คุณยาย”


“อะไรจ๊ะ” หญิงชราร่างเล็กพูดเสียงสั่น ดูเธอจะตกใจที่เขามาอยู่ข้างๆเธอและดูโทรทัศน์ด้วย
“ผมตัดสินใจได้แล้วครับ ว่าจต่อจากนี้ไปจะทำอะไรดี...”

....................................................................

“ท่านครับ เรามาถึงดาวกุโรเรียบร้อยแล้วครับ” ชายในชุดทหารที่มีใบหน้าคล้ำพูกับชายหนุ่มในชุดสูทในยานลำเล็กที่มีพื้นที่กว้างแห่งหนึ่ง

“ดีมาก...” ชายหนุ่มวัยสามสิบรำพึง

เขาถูกส่งมาในฐานะสหพันธรัฐโลก ที่ถูกรวมตัวกันชั่วคราวเพื่อต่อสู้กับชาวดาวกุโร หลังจากที่ประเทศไทยประกาศสงครามกับชาวดาวกุโร ถึงแม้ว่า
ประเทศไทยจะเป็นประเทศที่มีความทันสมัยเทียบเท่านานาอารยประเทศ แต่การเปลี่ยนตัวผู้นำ บวกกับความวุ่นวายภายใน ก็ทำให้การทำสงครามกลาย
เป็นความเสียเปรียบ ยิ่งชาวดาวกุโรมีความคิดและการทำสงครามที่โหดร้ายเนื่องจากความคิดว่าไทยแย่งชิงทรัพยากรของพวกเขา ก็ทำให้ไทยกลายเป็น
ฝ่ายที่ถูกถล่มอยู่ฝ่ายเดียว

สหพันธรัฐโลกจึงรวมตัวกัน และทำสงครามร่วมกับไทย แต่ไม่มีประโยชน์ที่จะทำสงครามกันอีกต่อไป...โดยเฉพาะตอนนี้

ยานค่อยๆจอดลงที่อาคารแห้งหนึ่งที่ดูเหมือนแท่งเหล็กมากกว่าตึก ชายหนุ่มกับนายทหารอีกสามสี่นายที่มาคุ้มกันเดินลงมาอย่างสง่างาม
ชาวดาวกุโรสองสามคนที่ดูเหมือนเจ้าหน้าที่ระดับสูงเดินเข้ามาหาพวกเขาด้วยท่าทีระแวง โดยเฉพาะชายหนุ่มที่ดูไม่คุ้นเคย แต่กลิ่นของชายคนนั้นสำหรับชาวดาวกุโรถือเป็นกลิ่นอันตราย เพราะพวกเขาได้กลิ่นส้มตำ กลิ่นน้ำหอม และกลิ่นเทคโนโลยีที่ติดมากับพวกเขา

ใช่...เขาเป็นคนไทย!!

“มีธุระอะไรกับพวกเรา” หญิงสาวชาวดาวกุโรถามอย่างระแวง ใบหูแมวสีขาวของเธอสั่นกระดิก

“ผมมีความคิดที่จะทำอะไรเพื่อพวกคุณบ้าง หลังจากที่เราทำสงครามต่อกันมานาน” ชายหนุ่มตอบ

“แล้วคุณเป็นใคร” ชายชราชาวดาวกุโรถามอย่างสงสัย “ผมไม่เคยเห็นหน้าคุณมาก่อน”

“ผมเป็นทูตมาจากสหพันธรัฐโลก มีหน้าที่มาเจรจากับพวกคุณ และในฐานะของคนที่ก่อสงครามครั้งนี้ด้วย”

“พอจะบอกชื่อเสียงเรียงนามของท่านจะได้ไหม”

ชายหนุ่มวัยสี่สิบยิ้ม ก่อนที่จะพูดด้วยน้ำเสียงมั่นใจว่า

“ผมชื่อ นรินทร์ อัศวกาล ครับ”


ปล.director's cut คือฉบับผู้กำกับทำเองครับ เอาคำนี้มาจากหนังสือของคุณวินทร์ เลียววาริณ เรื่อง ปั้นน้ำเป็นตัว น้ำแข็งยูนิต ตราควายบิน ครับ

อยากให้ทุกคนอ่านอย่างใส่ใจนะครับ และช่วยกันวิจารณ์ด้วย เพราะผมอยากพัฒนาฝีมือตัวเองขึ้นมาบ้างครับ แหะๆ

ไว้เจอกันใหม่กับเรื่องสั้นฉบับ revisited 'อาณานิคมหุ่นยนต์' ครับ

วันอังคารที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2553

แนะนำตัว

มีบล็อคของตัวเองมั่ง
แหะๆ
ก็อยากให้วงการเรื่องสั้นไซไฟที่มันเงียบเหงาให้กลับมามีชีวิตขึ้นมาบ้าง
หลังจากความคิดบ้าๆบอๆ
"เขียนเรื่องสั้นวิทย์ๆสักเรื่องเป็นไง"
หลังจากนั้นก็ลามปามเป็นสองเรื่อง สามเรื่อง และอนาคตที่จะมีมากขึ้นๆตามความคิดที่เปลี่ยนไปในแต่ละวัน
ภาพต่างๆและข่าวต่างๆที่(อาจจะ)น่าสนใจก็จถูกบรรจุเข้ามาในนี้ด้วยเพื่อเติมเต็มเรื่องสั้น(ที่ดูจะไร้สาระ)
ก็ขอฝากบล็อคน้อยๆนี้ไว้ด้วยนะครับ หุหุ