วันอังคารที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553


เรื่องนี้ถือว่าเป็นเรื่องที่ผมชอบที่สุดเรื่องหนึ่ง แต่ยังมีจุดที่ต้องแก้ไขนิดหน่อย เลยแก้ไขพร้อมกับตัดตอนจบใหม่ทั้งหมด เชิญอ่านและสับๆได้เลยครับ

ปล.เรื่องนี้เด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี ควรได้รับคำแนะนำ

อาณานิคมหุ่นยนต์ (Revisited)

เมล์ to: vissana2595@XXXXXcom

เรื่อง การทำการบ้าน

วันที่ 29 เดือนธันวาคม 2689

กฤษดา : ผมอยากรู้อยู่อย่างหนึ่งน่ะครับอาจารย์ ว่าอาณานิคมแห่งไหนที่มีการปกครองที่ค่อนข้างแปลกที่สุด และดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยซ้ำกับที่อื่นๆ

คือผมอยากจะลองไปสำรวจการเมืองการปกครองของที่นั่น เพื่อจะทำรายงานเกี่ยวกับทฤษฏีการเมืองครับ

โปรดให้คำชี้แนะด้วย

ผมส่งเมล์ไปทางอาจารย์วิชาสังคมในโรงเรียนที่ผมเคยเรียนอยู่ เพื่อหาในสิ่งที่ผมต้องการ ไม่แน่ใจว่าจะได้ข้อมูลอะไรหรือเปล่า แต่อย่างน้อย ผมก็อยากได้
อะไรสักอย่างที่อาจารย์พอจะให้ข้อมูลได้ก็ยังดี เริ่มรู้สึกกระหายน้ำแล้วสิ ผมคิด ร่างกายของตนเองเริ่มลุกจากเก้าอี้ และเดินไปกดน้ำในกระติก ก่อนที่จะมี
เมล์เข้ามาตอนที่ผมดื่มน้ำอึกสุดท้ายพอดี มือผมยื่นออกไปและกดรับเมล์ทันที

วิศนะ : อาณานิคมหุ่นยนต์ คือคำตอบที่เธอน่าจะไป

ผมมองอย่างงงๆ ก่อนที่จะเปิดอินเทอร์เนต และใส่ข้อมูลว่า “อาณานิคมหุ่นยนต์”

ข้อมูลปรากฏขึ้นค่อนข้างน้อยเมื่อเทียบกับอาณาจักรอื่นๆ รู้เพียงแค่ว่า การปกครองของที่นั่นค่อนข้างไปในทางโบราณ เนื่องจากมีหุ่นยนต์หลากหลาย

ประเภท และหลากหลายแบบอาศัยอยู่เป็นแสนๆตัว ทุกตัวหลบหนีจากการกดขี่ของมนุษย์ และกฎสามข้อ ที่ค่อนข้างจะเป็นกฎที่กดดันพวกมันอยู่พอ
สมควร เหล่าหุ่นยนต์จึงเดินทางมาสร้างอาณานิคมในที่ๆไม่ค่อยมีใครกล้าแตะ คือ ในที่ๆแห้งแล้งประดุจทะเลทราย แต่พื้นที่แห่งนั้นถือได้ว่าเป็นแหล่งอุ้มน้ำขนาดใหญ่พอๆกับเขื่อนเชอโนบิลในอดีตก็ว่าได้ ที่นั่นจึงสามารถขายน้ำและผลิตน้ำกลั่นไว้ใช้เองอย่างอิสระ

ผมปิดคอมพิวเตอร์ลง ก่อนที่จะเปิดโทรศัพท์จองรถเช่าหนึ่งคันเพื่อเดินทาง พร้อมๆกับเก็บกระเป๋า ถ้าอาจารย์อยากให้ไปที่นั่น เขาก็จะลองไปดู

สองสามวันต่อมา ผมก็เดินทางไปตามทะเลทรายวิศรัตน์ที่แห้งแล้ง สู่อาณานิคมหุ่นยนต์ที่ดูใหญ่โตโอ่อ่า ถ้าเทียบกับอาณานิคมที่ตนเองอยู่ ที่นั่นดูกระจอกไปเลย ทั้งเทคโนโลยีที่ดูทันสมัยและวัสดุการทำสิ่งก่อสร้างที่แวววาวเหมือนเพชร แต่ถึงแม้ว่าที่นี่จะดูล้ำเพียงใด พวกเขาก็ไม่ลืมสภาพพื้นที่เดิมๆที่เป็น

ทรายทั้งพื้นที่ ดูเหมือนว่าจะไม่มีต้นไม้เลยสักต้น เพราะค่อนข้างแห้งแล้ง แต่โรงงานน้ำกลั่นที่ผมเห็นลางๆจากด้านในสุดนั้นมีควันขึ้นมาอย่างสม่ำเสมอ นั่นคือแหล่งพลังงานหลักของที่นี่ และผู้คนที่ใช้รถยนต์ทั่วโลก

ผมเลี้ยวรถเข้าถนนหลักขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง ที่นี่ดูเงียบๆจัง ผมคิด ในขณะที่กำลังขับรถไปเรื่อยๆนั้นเอง อะไรบางอย่างที่ดูหนาหนักเหวี่ยงกระแทกเข้า
กระจกข้างรถของผมอย่างแรงจนกระจกแตกเข้าหน้าของผมเอง มือขนาดเล็กที่ดูเหมือนที่หนีบตุ๊กตาข้างหนึ่งจับคอเสื้อผมเอาไว้


วินาทีต่อมา เสียงกระหน่ำตีรถผมก็ดังกึกก้องขึ้นมาเหมือนพสุธาจะทลาย ผมเอามือกุมหัวและปัดมือประหลาดนั้นทันที และอะไรบางอย่างไต่ขึ้นมาบนหลังคารถ เสียงกระหน่ำทุบรถผมยังคงดังอยู่ในหู กระจกด้านข้างแตกละเอียดอย่างรวดเร็ว ก่อนที่จะมีมือจักรกลมาจับผมไว้ ผมพยายามปัดมันออก ก่อนที่
เสียงปืนพกจะดังขึ้น แต่เสียงกระสุนที่พุ่งออกมาราวกับคลื่นเสียง ผมก้มหลบเสียงนั้นอีก และประตูรถก็เปิดผางออกพร้อมๆกับมือหนาสีเงินที่มีข้อต่อและฝ่า

มือคล้ายมนุษย์โผล่ออกมารัดคอของผมเอาไว้ ความรู้สึกแรกคือ ความเย็นจัดเหมือนโลหะ ผมถูกกระชากออกมาจากฝูงอะไรสักอย่างที่ทำให้ผมอ้าปากค้าง
ฝูงเครื่องจักรนับสิบหันมาทางผมเหมือนอาฆาตมานับสิบๆปี พวกมันมีตาสีแดงวาว ร่างกายนั้นดูเก่าๆและหักพัง เหมือนกับทำงานในที่ๆแห้งแล้งมานาน

แขนหลายข้างที่ดูเหมือนที่หนีบยกขึ้นอย่างขู่ขวัญ ก่อนที่พวกมันจะลงจากรถและพุ่งเข้าใส่ผมกับหุ่นยนต์ปริศนา

หุ่นยนต์ผู้ปกป้องหยิบปืนออกมาจากต้นขา และกระหน่ำยิงคลื่นอากาศออกมา ทำเอาหุ่นยนต์หลายตัวที่มีหลายแขนนั่นกระเด็นออกไปกระแทกกับรถผม

ประกอบกับคลื่นอากาศนั้นไปโดนรถด้วย รถจึงเหวี่ยงตัวขึ้นและระเบิดไปต่อหน้าต่อตา!!

“ตุ๊ดติ๊ดๆ” เสียงของหุ่นยนต์ดังขึ้น ผมเอียงคออย่างงงงวย แต่ร่างนั้นวิ่งไปทางซอกตึกกลวงแห่งหนึ่ง ผมจึงวิ่งตามไป หุ่นยนต์เก่าๆค่อยๆลุกขึ้นมาอย่าง
ยากลำบากและพุ่งตัวตามผมมา

แอนดรอยด์ หยิบปืนอัดอากาศมาให้ผมใช้ และชี้ไปทางหุ่นยนต์นั่น ผมกดไกใส่ทันที ปืนยิงอากาศเปรี้ยงออกมา หุ่นยนต์เหวี่ยงกระเด็นออกไปและกระแทก
กับกำแพงหล่นลงไปในกองขยะ


“ตุ๊ด...ติ๊ด...ติ๊ด...ตุ๊ด...ตุ๊ด...” เสียงของหุ่นยนต์ดังขึ้นอีกและถอดหมวกคลุมหน้าออก ผมจึงมองเห็นใบหน้าสีเงินเกลี้ยงเกลาที่ไม่มีใบหน้า
เป็นเพียงโครงหน้าเท่านั้น

“นายจะแนะนำตัวหรือ” ผมถามอย่างสงสัย ร่างของแอนดรอยด์ส่ายหน้าอย่างเหนื่อยใจ และหยิบที่อุดหูออกมาจากกระเป๋าเสื้อคลุมสีน้ำตาลที่ยาวเกินควรนั่น ผมมองอย่างงงๆ แต่ก็หยิบออกมาใส่


“ผมคือ ผรุสวิทย์ เป็นตำรวจท้องที่ของที่นี่”
“เฮ้ย ได้ยินได้ไงเนี่ย” ผมร้อง

“อย่าตกใจไป เครื่องนั้นสามารถทำให้ได้ยินความคิดของพวกเราได้ผ่านทางคลื่นสมองของท่านและพวกเรา” นายตำรวจพูดพลางก้าวข้ามกองขยะที่ล้ม

“แล้วนายรู้ที่อยู่ของฉันได้ยังไงนี่” ผมถามพลางหรี่ตามองแอนดรอยด์ตำรวจอย่างไม่ไว้ใจ

“ท่านสั่งเอาไว้น่ะครับ ถ้าคุณมาถึงอาณานิคม ให้ติดต่อทันที แต่คุณกลับไปอยู่กลางดงหุ่นยนต์แรงงานซะได้” เขาตอบ

“หุ่นยนต์แรงงาน” ผมพูดพลางมองดูโนหลังเหมือนมันจะโผล่อีกรอบหรือเปล่า?


“มันคือหุ่นยนต์แรงงานในทะเลทรายที่มีหน้าที่ขุดแหล่งน้ำขึ้นมาใช้ ว่ากันว่าธุรกิจน้ำของอาณานิคมหุ่นยนต์ราวหกสิบเปอร์เซนต์เป็นสิ่งที่พวกเขาใช้น้ำพักน้ำ
แรงทำมันขึ้นมา แต่ธุรกิจเหล่านี้กลับถูกฮิวมานอยด์ และพวกเราเป็นตัวควบคุม และปล่อยให้พวกเขาเป็นทาส นานวันเข้า พวกเขาไม่พอใจ จึงพยายาม
ประท้วง แต่...”
“แต่...” ผมซ้ำอย่างอยากรู้


แต่แอนดรอยด์เงียบกริบ ผมจึงเงียบไปเหมือนกัน ผมเริ่มวิ่งไปเรื่อยๆ โดยไม่รู้ตัวว่าตนเองกำลังวิ่งไปที่ไหน รู้แต่เพียงว่าตอนนี้ปลอดภัยแล้ว ไม่มีอะไรตามมาข้างหลังอีก แต่ผมก็กำปืนเอาไว้เผื่อสถานการณ์จะเอื้ออำนวยให้ต้องใช้ ผมกับหุ่นยนต์ตำรวจเดินไปเรื่อยๆจนถึงถนนขนาดใหญ่ที่ดูเหมือนศูนย์กลางของที่
นี่ ซึ่งมีตึกขนาดใหญ่เหมือนหลอดประกอบกันอยู่ ผมยืนหอบหายใจและนายตำรวจแอนดรอยด์พูดว่า

“คุณไม่ต้องเป็นห่วง เราน่าจะควบคุมสถานการณ์ได้ในไม่ช้า” นายตำรวจพึมพำ “ขอให้โชคดีครับ”

แล้วเขาก็วิ่งไปทางด้านหลัง ซึ่งก็คือซอกขยะที่ผมเพิ่งรอดตายมานั่นเอง หลังจากที่ผมหายเหนื่อยจากการวิ่งแล้ว ก็เดินไปโดยเริ่มรู้สึกระแวงว่า อะไรจะเกิด
ขึ้นหลังจากนี้ สิ่งที่ผมเห็นต่อมาคือ หุ่นยนต์ขนาดใหญ่เล็กนับร้อยๆตัวที่ดูเก่าและหักพังเหมือนที่ผมเห็นตอนที่ถูกพังรถไปหยกๆ กำลังเดินไปมาให้ว่อน ทุก
ตัวส่งเสียงครืดๆคราดๆเหมือนข้อต่อขึ้นสนิมกำลังเคลื่อนตัว พร้อมๆกับชูป้ายขนาดใหญ่ขึ้นเป็นภาษาคอมพิวเตอร์ ทุกตัวเขียนเหมือนกันหมดว่า

01001000001010010001

“อะไรกันเนี่ย” ผมถามอย่างสงสัยเมื่อพวกมันเดินผ่านผมไป วินาทีนั้นเอง หุ่นยนต์แรงงานตัวหนึ่งหันมาทางผม เสียงข้อต่อเคลื่อนติดๆขัดๆเหมือนกำลัง
เกรี้ยวกราดดังกระหึ่มไปทั่ว ก่อนที่พวกมันนับร้อยจะกรูกันเข้ามาหาผมอย่างบ้าคลั่ง...


“อา…” ผมพยายามจะพูด แต่ทำได้เพียงเสียงแผ่วในลำคอเท่านั้น
พริบตาต่อมา เสียงระเบิดดังกึกก้องขึ้นบนพื้นเหมือนมีคนเหยียบกับระเบิด ร่างนับร้อยลอยขึ้นฟ้าและตกกระแทกกับพื้นเสียงเหมือนช้อนนับร้อยหล่นลงบน

พื้น ผมรู้สึกตัวอีกทีก็มานอนคว่ำหน้าอยู่บนพื้นที่แตกกระจาย ร่างของหุ่นยนต์ที่บาดเจ็บค่อยๆลุกขึ้นอย่างลำบาก เพราะชิ้นส่วนของพวกมันเสียหายหลาย
ส่วนเหมือนกัน

วินาทีต่อมา เกิดระเบิดซ้อนๆกันหลายๆทีจนผมต้องหลบไปที่ถังขยะข้างทาง วินาทีต่อมา เสียงโห่ร้องของหุ่นยนต์ทหารดังกึกก้องขึ้น เสียงเอียดออดของหุ่นยนต์คำรามดังสนั่นตามมาเป็นระลอก แต่ก่อนที่ผมจะรู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้นต่อไป ผมก็ถูกร่างของนายตำรวจคนหนึ่งกระชากหลบไป วินาทีต่อมา เกิดหลุม

แรงโน้มถ่วงขึ้นตรงที่ผมหลบมุมอยู่เมื่อครู่ ทำเอาถังขยะบุบบูบี้ไปเลย

“ไปเร็วครับท่าน” เสียงของหุ่นยนต์ตำรวจพูดอย่างเคร่งขรึม ก่อนที่จะพาผมหลบจากความวินาศสันตะโร ไปสู่สถานีตำรวจ

“เกิดอะไรขึ้นกับที่นี่กันแน่” ผมร้องอย่างไม่พอใจ เมื่อเขาจับผมนั่งลงกับเก้าอี้แล้วเดินออกไปนั่งบนโต๊ะอย่างไม่สบอารมณ์

“เพราะพวกคุณนั่นละ ที่ทำให้เกิดเรื่องแบบนี้!!” เสียงหุ่นยนต์คำรามอย่างไม่พอใจและถลันเข้ามากุมมือรอบลำคอของผมเอาไว้ สายตาข้างในใบหน้า
เกลี้ยงเกลาสีเงินนั้นดูไร้ความรู้สึก ผมจ้องมองใบหน้านั้น ก่อนที่มันจะปล่อยผมไปกระแทกกับพื้นอย่างแรง และเขาลากเก้าอี้เข้ามาหาผม นั่งลง แล้วพูด
อย่างพยายามทำให้สงบราบเรียบว่า

“ตั้งแต่พวกมนุษย์สร้างสมองกลที่เหมือนมนุษย์ พวกเราก็เดือดร้อนมาโดยตลอด”

“หมายความว่าไง” ผมถามอย่างสงสัย แต่น้ำเสียงของผมดูสงบลง

“ฮิวมานอยด์อย่างพวกเรามีมันสมองที่ฉลาดล้ำอย่างมนุษย์ แต่ไร้ความรู้สึก พวกเราจึงเป็นผู้ปกครองอาณานิคมหุ่นยนต์ได้อย่างง่ายดาย ผิดกับพวกหุ่นยนต์

ข้างนอกนั่น ที่ถึงแม้ว่าจะมีมันสมองที่ไม่เทียบเท่ามนุษย์ แต่พวกเขาถูกใส่ ‘ความรู้สึก’ ลงไป โดยเผ่าหุ่นยนต์ที่ต้องการให้พวกเขามีความรู้สึก ก็เพื่อให้
สามารถควบคุม และให้พวกเขาเกรงกลัว ทำให้พวกเขาถูกควบคุมได้อย่างง่ายดาย และกลายเป็นทาสของพวกเรา”

“แต่นานวันเข้า ความรู้สึกของพวกมัน ก็กลายเป็นตัวผลักดัน ที่ทำให้พวกมันอยากมีมันสมองอย่างพวกเราบ้าง แต่สมองกลนี่แหละ ที่ทำให้พวกเราเป็นผู้ปกครอง และพวกหุ่นยนต์แรงงานกลายเป็นทาส พวกเรา ซึ่งไม่อยากให้พวกมันมีอำนาจพอๆกับพวกเรา จึงพยายามคัดค้านอย่างหนัก... จนในที่สุด
ก็เกิดเป็นสงครามมานานจนถึงปัจจุบัน”

อึ้งไปพักหนึ่ง ผมมองดูหุ่นยนต์ที่ตอนนี้หันไปอีกทางหนึ่ง ก่อนที่จะพูดว่า

“ตอนนี้สิ่งที่คุณควรจะทำคือ หนีไปจากที่นี่ซะ แล้วลืมที่นี่ให้หมด ลืมความวุ่นวายของที่นี่ไป หรือถ้าเธออยากเผยแพร่อะไรให้ใครฟัง ทุกคนก็คงไม่ห้าม
เธอ แต่จงจำเอาไว้ว่า ไม่มีอาณานิคมไหนที่มันสมบูรณ์แบบในตัวของมันเองหรอกนะ ทุกคน ทุกๆอาณานิคมต่างมีปัญหาด้วยกันทั้งนั้น แตกต่างกันแค่ว่า
จะมีปัญหามากน้อยแค่ไหนเท่านั้นละ เอาละ มีรถคันหนึ่งที่ถูกทิ้งเอาไว้ตรงนั้น มีกุญแจเสียบคาเอาไว้แล้ว เธอรีบหนีออกไปจากที่นี่ซะจะดีกว่า”

ผมพยักหน้ารับ และลุกขึ้นยืนอย่างเนือยๆ เพราะร่างกายของผมถูกใช้งานไปมากในหลายชั่วโมงมานี้ แต่ผมยังมีคำถามๆหนึ่งที่อยากจะถามเขา

“ทำไมคุณถึงรู้ว่าผมอยู่ที่นั่นล่ะ ทั้งๆที่มีแต่หุ่นยนต์อยู่ที่นั่นแท้ๆ” ผมถามอย่างสงสัย

เขาเอียงคอไปข้างหนึ่ง ก่อนที่จะตอบว่า


“อาจารย์วิชาสังคมของคุณที่ติดอยู่ที่นี่เป็นคนติดต่อผม บอกว่า คุณอยู่ที่ศูนย์กลาง ให้รีบไปช่วย”
“แล้วตอนนี้ท่านอยู่ที่ไหนหรือครับ” ผมถามอย่างงุนงง

“ช่างโชคร้าย...” นายตำรวจแอนดรอยด์พูดพลางส่ายหัวอย่างโศกเศร้า “เขาติดแหงกอยู่ที่ศูนย์กลางที่ตอนนี้กำลังเกิดเหตุจลาจล และคนที่อยู่ที่นั่นก็
เหมือนไม่มีชีวิตไปครึ่งตัว เพราะไม่มีไฟฟ้า ไม่มีอะไรที่จะสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้โดยมนุษย์”


ผมนิ่งคิดอยู่ชั่วครู่หนึ่ง และดูเหมือนตำรวจจะเดาใจผมได้ มันพูดว่า
“สิ่งที่อาจารย์ของเธอสั่งไว้เป็นครั้งสุดท้ายคือ ให้เธอทำรายงานเกี่ยวกับการเมืองแบบชนชั้นที่ไร้เสถียรภาพของที่นี่ เธอก็เห็นอยู่ ที่นี่ควบคุมอะไรไม่ได้โดย

หุ่นยนต์อีกแล้ว เพราะสิ่งที่พวกเขาทำในตอนนี้ไม่มีมันสมอง แต่ความรู้สึกของพวกเขาเป็นตัวนำให้เกิดจลาจล พวกเรามีมันสมอง แต่ไม่มีความรู้สึก เราจึงไม่เข้าใจพวกเขา แต่พวกมนุษย์ภายนอก ที่มีทั้งความรู้สึกและมันสมองอย่างพวกเรา จะเป็นคนที่เข้าใจพวกเขา และอาจจะทำให้เรื่องของพวกเรา...จบ
ลงได้เสียที”


“เอาละ ไปได้แล้ว ระวังพวกมันด้วย” เขาพูดพลางเดินไปนั่งลงบนเก้าอี้ ผมมองดูอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะเดินออกไป ทิ้งให้ตำรวจแอนดรอยด์เฝ้าที่นั่นต่อไป

ผมเดินไปเรื่อยๆ ที่นี่ดูเหมือนว่าจะเป็นที่ๆเดียวที่ไม่เกิดอะไรขึ้นเลย คงเป็นเพราะตำรวจพยายามปกป้องสถานที่แห่งเดียวที่จะสามารถติดต่อโลกภายนอกได้ละกระมัง ผมคิด และผมก็เห็นรถคันหนึ่งที่จอดอย่างโดดเดี่ยวข้างในสุด ผมรู้ทันทีว่าเป็นรถที่อาจารย์ส่งมาให้ เพราะผมจำรถคันนี้ได้ อาจารย์วิชาสังคม

มักจะเดินทางมาด้วยรถคันนี้ตลอด ผมเดินขึ้นรถ และสตาร์ทรถอย่างรวดเร็ว
แต่วินาทีต่อมา ผมก็รู้ทันทีว่าเหตุการณ์มันไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด


เพราะหุ่นยนต์แรงงานตัวหนึ่งพุ่งเข้ามาจากหลังคา และทุบรถผมอย่างแรงจนบุบ อีกไม่กี่นาที รถก็สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง เมื่อหุ่นยนต์แรงงานจำนวนมากกรูกันเข้ามาหมายจะทุบรถ ผมพยายามเหยียบคันเร่งอย่างแรงจนมันกระเด็นออกไปคนละทิศละทาง ผมเลี้ยวออกจากสถานีตำรวจ พวกมันที่ล้มลุกขึ้นมา

อย่างรวดเร็วและพุ่งตัวตามผมมา
ผมเร่งความเร็วไปที่หนึ่งร้อยกิโลเมตรต่อชั่วโมงเพื่อเอาตัวรอด ผมไม่สนใจกฎหมายอีกแล้วในเมื่อความตายอยู่ห่างเพียงช่วงถนนเท่านั้น รถพุ่งตัวเหมือน

จรวดออกไปตามถนน ผมเลี้ยวไปตามทางที่ออกถนนใหญ่ที่ผมเคยผ่าน ซึ่งจะออกไปที่ถนนใหญ่ได้ แต่วินาทีที่ผมมาถึงส่วนที่เกิดรถระเบิดจนควันลอยขึ้น
คลุ้งไปหมด ผมก็พบว่า มีหุ่นยนต์แรงงานมากมายเดินเป็นขบวนมาทางนี้อีก และผมก็โชคร้ายที่มันเจอะกับผม

พวกมันพุ่งเข้าใส่ผมเหมือนกระทิงบ้า
สัญชาตญาณของผมควรจะหันหลังโกย แต่ผมคิดว่า ถ้าจะฝ่าฟันอะไร ควรจะฝ่าไปให้ถึงที่สุด มือจึงใส่เกียร์เร่ง เหยียบคันเร่งเป็นร้อยยี่สิบ ก่อนที่จะพุ่ง

เข้าใส่หุ่นยนต์บ้าเลือดพวกนั้น พวกมันพุ่งเข้าหาผมอย่างไม่เกรงกลัวอันใด สายตาของผมตอนนี้เหมือนประตูที่กำลังจะมีแสงสว่างน้อยลงทุกทีๆ นี่มันการ
กระทำที่บ้าระห่ำชัดๆ แต่ผมก็ต้องทำ เพื่อเอาตัวรอด

รถพุ่งเข้าใส่ร่างอันเก่าพังของหถุ่นยนต์อย่างเต็มๆแรง ร่างของพวกมันนับสิบหมุนคว้างและหล่นกระแทกพื้นดังตึง!! พวกมันมีท่าทีตกใจและก้าวถอยไป แต่สักพักหนึ่ง พวกมันจะโอบล้อมเข้ารถยนต์ของผมแน่ๆ ผมจึงรีบขับต่อไป


ผมขับมาเรื่อยๆในขณะที่เสียงกึงกังของหุ่นยนต์ที่ไล่ล่าผมอยู่เป็นฉากหลัง ผมเน่งความเร็วมากขึ้นกว่าเดิม หุ่นยนต์เป็นโขยงกำลังวิ่งตามมาอย่างรวดเร็ว จนเมื่อผมวิ่งมาถึงเขตเมือง ผมก็เป่าปากเสียงดังฟู่อย่างรวดเร็วเหมือนกับรู้ตัวเองว่า รอดแล้ว ในขณะที่พวกหุ่นยนต์ที่วิ่งๆอยู่ จู่ๆก็มีอาการหยุดชะงัก และ
มองผมที่ห่างออกไปอยู่ที่หน้าเมือง เหมือนมีอะไรบางอย่างที่น่ากลัวอยู่ที่นอกเมือง


แต่ตอนนี้ ผมนึกภาวนาอยู่ในใจว่า ผมรอดออกมาจากที่นั่นแล้ว
……………………………………………………………………………….
สองถึงสามวันต่อมา

ผมกำลังนอนพักผ่อนด้วยความเหนื่อยอ่อน ช่วงสองสามวันที่ผ่านมานั้น ผมอาเจียนไปหลายครั้งด้วยความกลัว เนื้อยังเต้นระริกกับการเอาตัวรอดของตัว
เอง ร่างกายของตนเองนั้นดูเหนื่อยอ่อนไม่มีที่สิ้นสุด ผมกำลังคิด...ว่าจะทำอย่างไรต่อไปดี

ตึง!!

เสียงระเบิดดังกึกก้องขึ้นมาในหู ทำเอาเนื้อกายของผมสั่นสะเทือนด้วยความตื่นตัว ผมหยิบอาวุธที่ใกล้ตัวที่สุดออกมาจากแก้วที่วางอยู่ในครัว มีดทำครัวสี
เงินเป็นประกายวับในแสงสลัวของตอนค่ำ ผมยื่นศีรษะออกไปที่นอกหน้าต่างเพื่อมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

สิ่งที่ผมเห็นเกือบทำเอาผมช็อค


ภาพของหุ่นยนต์แรงงานในอาณานิคมหุ่นยนต์กำลังใช้คีมขนาดใหญ่ฉีกศีรษะมนุษย์แยกออกจากคอ หุ่นยนต์ตัวหนึ่งใช้ปืนระเบิดยิงออกไป วินาทีต่อมา เสียงตึง!! ของระเบิดดังกึกก้อง


ผมรีบวิ่งออกไปที่ประตูอย่างรวดเร็ว แต่ผมรู้ตัวว่ามันสายเกินไป เมื่อประตูถูกทำลายด้วยเลื่อยสองชั้น เสียงเลื่อยเฉือนเนื้อประตูดังชวนเสียวสันหลังในหู
ผมรู้ทันทีว่า...
ผม-ไม่-มี-ทาง-รอด!!

……………………………………………………………………….

ข่าววันที่ 5 มกราคม 2690

หุ่นยนต์แรงงานในอาณานิคมหุ่นยนต์ถูกไวรัส ความบ้าคลั่งเกินควบคุมเริ่มลามสู่อาณานิคมต่างๆ

ข่าววันที่ 6 มกราคม 2690

ทหารถูกสังหารเรียบในยุทธการทำลาย เป็นเหตุให้อาณานิคมอเมริกันถูกทำลายจนราบ


วันที่ 7 มกราคม 2690

ยุคสมัยเปลี่ยนไปแล้ว...เหลือเพียงพวกเราที่ครองโลก!!

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น